เรณู ปัญญาดี คู่มือก่อม็อบเพื่อประเทศไทย

24 ก.ย. 2553
Read more ...

ความคิดที่ออกจากปากของ โจเซ่ มูรินโญ่

24 ก.ย. 2553
โดยบางกอกทูเดย์ เมื่อ 13 ก.ค.2552

แม้ว่าจะเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ 2009-10 แล้ว แต่สำหรับ “โจเซ่ มูรินโญ่” ยังคงเหมือนเดิมทุกประการกับฝีปากที่คมกริบและเย่อหยิ่งในการแถลงข่าวที่แอปเปียโน่ เจนติเล่ในการเข้าแคมป์ซ้อมวันแรกของทีมอินเตอร์ มิลานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ค.)โดนกันถ้วนหน้าทั้งรีล มาดริดกับยูเวนตุส ที่น้ามูบอกว่า

“ไม่มีอะไรพิเศษที่จะพูดถึง เย้ย คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตกุนซือเอซี มิลานและปัจจุบันเข้าคุมเชลซีทีมเก่าของเขาว่าไม่ใช่เพื่อน ตบท้ายด้วยการกระทบชิ่งนักข่าวตั้งคำถามเหมือนกับว่าเขาเป็นเกย์

“รีล มาดริดเหรอ ผมไม่มีอะไรพิเศษที่จะพูดถึงพวกเขาเราอาจจะไม่ได้เจอกับพวกเขาในซีซั่นนี้ ผมไม่กลัวมันหรอกพวกเขาคือทีมระดับโลกมีนักเตะชั้นยอดมากมายและอยู่ภายใต้การจับตามอง แต่ผมไม่มีอะไรจะพูดถึง” มูรินโญ่ให้สัมภาษณ์กับสกาย สปอร์ต อิตาเลีย

“ผมไม่กลัวทีมจากอิตาลีทีมอื่นด้วยเช่นกันกัน สิ่งที่พวกเขาทำเป็นเรื่องปกติที่ต้องการทำให้ทีมดีขึ้น มันชัดเจนอยู่แล้ว”(พูดกระทบถึงการทุ่มเงินซื้อนักเตะของยูเวนตุส)

“คำถามของพวกคุณเหมือนกับว่าผมเป็นเกย์” น้ามูปล่อยมุกใส่นักข่าว หลังโดนจี้ถามถึงกองหลังแบบไหนที่เขาอยากได้ตัว

“คุณพูดกันแต่ว่า (เส้นผมสี) บลอนด์, น้ำตาล, ทอง”

“ผมมีจุดมุ่งหมายเหมือนเดิม ผมยินดีที่ได้กลับมาเข้าแคมป์ ผมชอบทำงาน ชอบเตะบอล ชอบสอนบอล ผมชอบการแข่งขัน” กุนซือสเปเชี่ยลวันกล่าว

“เราจะเริ่มลงเตะเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นในสัปดาห์หน้า ผมแฮปปี้และยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

“เรื่องกลุ่มนักเตะเหรอ? มันคือปัญหาสำหรับผม ผมไม่แฮปปี้ มันไม่ดีต่อการทำงาน เกมฟุตบอลคือการต่อสู้ของ 11 ต่อ 11 แต่ผมมี 30 นักเตะในสนามซ้อมที่ไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“มีนักเตะหลายคนที่ผมต้องการให้ไป ผมไม่ต้องการให้เขาอยู่ เพราะมันไม่เป็นผลดีสำหรับทีม”

“วันนี้มันดูเหมือนว่านักเตะจะสนใจกันแต่เงินและชีวิตส่วนตัวมากกว่าอย่างอื่น นักเตะหลายคนชอบที่จะอยู่กับทีมต่อไปทั้งที่โค้ชไม่ต้องการเขา”

“(หลุยส์) จิเมเนซย้ายไปเวสต์แฮมที่เป็นเรื่องดีสำหรับเขาเอง ขณะที่คนอื่นๆ ไม่ต้องการไป ที่ผมก็ต้องยอมรับตามกฎและสัญญาที่เหลืออยู่”

“ความคิดของผมจะไม่เปลี่ยนเกี่ยวกับตัวนักเตะ ผมไม่เปลี่ยนความรู้สึกต่อพวกเขา”

“เน็ดเว็ดเหรอ? ผมไม่พูดถึงนักเตะคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ที่นี่” มูรินโญ่ตอบเมื่อถูกถามถึงมิดฟิลด์เช็ก

“มันก็เรื่องเดิมๆ น่ะแหละ ตลาดซื้อขายเปิดตอนซัมเมอร์ เราจะคอยดูว่าจะมีสโมสรอื่นสนใจนักเตะของเราบ้างหรือไม่”

“อินเตอร์ลงตัวหรือยังใช่มั้ย? เราเล่นด้วยนักเตะ 11 คนเราพร้อมแล้ว แต่ยังมีแนวทางที่แตกต่างออกไป เราต้องการปล่อยนักเตะในทีม 8 คน และเอา 4 นักเตะใหม่เข้ามา เพื่อให้สโมสรเติบโตขึ้น”

“มันง่ายกว่าในการเป็นโค้ชที่อังกฤษ เพราะว่าผู้คนจะคิดเกี่ยวกับฟุตบอลใน 90 นาที ในอิตาลีมีโค้ชอยู่ทั้งหมด 60 ล้านคน”ปิดท้ายในเพรสแถลงข่าว มูรินโญ่ ตอบคำถามถึง คาร์โลอันเชล็อตติ อดีตกุนซือเอซี มิลานทีมคู่ปรับร่วมเมืองที่ย้ายไปคุมเชลซีทีมเก่าของเขาว่าจะทำได้ดีแค่ไหน และกุนซือสเปเชี่ยลวันก็ประกาศศึกทันที หลังจากที่อันเช่เคยพูดกระทบถึงเขาตอนแถลงข่าวครั้งแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์”

“อันเชล็อตติไม่ใช่เพื่อนผม”นั่นแค่ออเดิร์ฟก่อนซีซั่นใหม่ของจริงกำลังจะมาถึง ยังมีคำคมจากกุนซือโปรตุกีสรออยู่อีกมากมาย แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา..เรารวบรวม 10 ประโยคคลาสสิกในอดีตที่ โจเซ่ มูรินโญ่ทิ้งเอาไว้ เอากลับมาเรียบเรียงใหม่ให้ดูกันอีกครั้ง

10...“ผมใช้เวลาเรียนภาษาอิตาเลียนวันละ 5 ชั่วโมงมาหลายเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าจะคุยกับลูกทีม, สื่อมวลชน และแฟนๆ รู้เรื่อง ส่วน (เคลาดิโอ) รานิเอรี่อยู่อังกฤษมา 5 ปีแต่ยังคงมีปัญหากับประโยคอย่าง “good morning” และ “good afternoon” อยู่เลย”

“เขาได้แชมป์ซูเปอร์ คัพ ที่เป็นถ้วยเล็กๆ และไม่เคยได้แชมป์ระดับเมเจอร์ เขาต้องปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองบ้างล่ะแต่อาจจะแก่เกินแกงที่จะทำ”

● มูรินโญ่จวกกลับใส่รานิเอรี่กุนซือยูเวนตุสที่มาวิจารณ์เขาตอนที่เข้ารับตำแหน่งกุนซืออินเตอร์ มิลานเมื่อตอนซัมเมอร์ 2008

9...“ถ้าผมต้องการเซฟงานของตัวเองทำไปเรื่อยๆ ผมก็คงอยู่ที่ปอร์โต้ต่อแล้ว เพราะที่นั่นแฟนบอลยกย่องผมเป็นที่สองรองจากพระเจ้า”

● กุนซือโปรตุเกสพูดเมื่อตอนมารับงานใหม่ที่เชลซีในปี 2004 และถูกถามว่า ทำไมถึงตัดสินใจที่จะรับงานใหญ่กว่าเดิมที่เต็มไปด้วยความกดดัน

8...“ผมแทบไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นไรจ์การ์ดเดินเข้าไปที่ห้องผู้ตัดสิน หลังจากนั้น ดิดิเยร์ ดร็อกบา ก็โดนใบแดงไล่ออก ผมไม่เซอร์ไพรส์อะไรเลย”

“สำหรับเกียรติประวัติการคุมทีมของผมไม่สามารถเปรียบกับ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ได้เลย เขามี 0 โทรฟี่ ส่วนผมได้ถ้วยแชมป์มามากมาย”

● น้ามูอัดใส่ไรจ์การ์ด ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เชลซีเจอกับบาร์เซโลน่าในปี 2005 ทั้งสองเลก และผู้ตัดสินที่เขาพูดถึงก็คือ อันเดอร์ส ฟริสก์

7...“สำหรับผมแล้วความกดดันก็เหมือนไข้หวัดนก ผมรู้สึกกดดันมากกับปัญหานี้ในประเทศสกอตแลนด์ มันไม่ใช่เรื่องสนุกและผมก็กลัวมากกว่าฟุตบอล”

● โจเซ่พูดถึงเรื่องความกดดันในปี 2006 ที่เชลซีกำลังลุ้นแชมป์ในช่วงท้ายฤดูกาล

6...“สำหรับ โล โมนาโก แล้ว ผมไม่รู้จักใครที่ชื่อนี้ กับชื่อโมนาโก ผมเคยได้ยินแต่บาเยิร์น โมนาโก (มิวนิค) และโมนาโก กรังด์ปรีซ์, ทิเบต โมนาโก (พระ) และกษัตริย์แห่งโมนาโก นอกจากนี้ ผมไม่รู้จักโมนาโกอื่นๆ”

● มูรินโญ่ สวนกลับปิ เอโตร โล โมนาโก ประธานคาตาเนียที่บอกให้เขาหุบปาก หลังเกมที่อินเตอร์ มิลานบุกมาชนะคาตาเนีย เมื่อเดือน พ.ย.2008

5...“ผมคิดว่าเขาคือหนึ่งในพวกถ้ำมองที่ชอบส่องไปทั่ว เป็นใครสักคนที่ถือกล้องส่องทางไกล คอยดูว่าบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไงกันบ้าง เขาเอาแต่พูด พูด พูด ถึงแต่เชลซี”

● น้ามูจวก อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซืออาร์เซนอลเมื่อเดือนตุลาคม 2005 แต่หลังจากนั้นเขาก็ออกมาขอโทษกับคอมเมนต์ครั้งนี้

4...“ในโปรตุเกสเราจะพูดกันว่า พวกเขาเอารถบัสมาจอดขวางหน้าประตู ผมอยากจะมาช่วยเข็นมันออกไป ถ้าผมเป็นแฟนบอลที่จ่ายเงิน 50 ปอนด์เข้ามาดูเกม สเปอร์สมัวแต่ตั้งรับเอาโล่จริงๆ”

● เขาพูดถึงเกมที่เชลซีเจอกับสเปอร์สในพรีเมียร์ ลีก ปี 2004 ที่ทีมตราไก่ถอยนักเตะทั้งหมด 11 คน ลงมาตั้งรับหน้าประตู

3...“มันไม่ใช่เกมระหว่างผมกับเขา มันเป็นเรื่องของเด็กน้อยคนหนึ่งออกมาพล่ามในสิ่งที่แสดงถึงความไม่โตเป็นผู้ใหญ่และขาดความเคารพผู้อื่น บางทีมันคงเป็นผลจากการที่เขาไร้การศึกษา และมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก”

● โจเซ่เล่นกับเด็ก ไล่จวก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เป็นโปรตุกีสด้วยกัน หลังโด้จิ๋วให้สัมภาษณ์พาดพิงเมื่อปี 2007

2...“โรนัลโด้คือนักเตะที่ดี แต่ก็ไม่ได้เก่งที่สุด เขาได้รับรางวัลบัลลงดอร์ เพราะทีมของเขาคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกและพรีเมียร์ลีก สำหรับผมแล้วอิบราฮิโมวิชเก่งที่สุดแล้ว”

● ขออีกรอบสำหรับมูรินโญ่ ที่แขวะโรนัลโด้หลังคว้านักเตะยอดเยี่ยมบัลลงดอร์ไปครอง

1...“กรุณาอย่าหาว่าผมหยิ่งยโส แต่ผมเคยได้แชมป์ยุโรปมาแล้ว และผมคือ Special One”

● ประโยคคลาสสิกที่สุดตั้งแต่ตอนที่รับงานคุมทีมเชลซี
Read more ...

กลยุทธต่อรอง เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบ

20 ก.ย. 2553
1. อ้างว่าไม่มีอำนาจตัดสินใจ

2. หากเราไม่ตกลงภายในเวลาจำกัด ผลประโยชน์ที่จะได้ทั้งสองฝ่ายจะไม่เกิดขึ้น
เช่น ในการประชุมผู้ถือหุ้น คนที่มีวาระ ไม่ยอมบอกก่อน แล้วนำไปบอกในวันประชุม ทำให้ดูก้นไม่ละเอียด สุดท้ายก็ต้องอนุมัติให้

3. หากเราไม่ตกลง จะทำให้ทุนที่เราลงไปแล้วมากมายสูญไป

4. ปฏิเสธเราไปแล้ว เช่นการต่อรองราคาสินค้า แต่พอเราไม่เอา อ้างว่ามีข้อยกเว้นให้

5. พูดกดดันว่าเราเป็นฝ่ายผิด ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเยอะ เช่น นำนาฬิกาไปซ่อม โดยเขียนกำกับไว้ในใบรับซ่อมว่า ซ่อมห้ามเกิน 800 บาท หากจะซ่อมเกินต้องโทร.มาบอกก่อน แต่พอถึงเวลากลับซ่อมเกินโดยไม่บอกก่อน เมื่อเราไม่ยอมจ่าย กลับพูดว่าเราเป็นคนทำให้ พนง.ทุกคนต้องช่วยกันเฉลี่ยเงินจ่ายส่วนเกินให้ ซึ่งเราไม่ต้องยอม

6. รับปากข้อตกลงแล้ว อ้างลืม กรณีนี้ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกเสียง

7. พูดประจานว่าสินค้าเราแพง เพื่อกดดันให้ลดราคาให้ อย่าลด เพราะแสดงว่า เขาสนใจสินค้าเรา

8. คนทำธุรกิจ ที่คิดเอาเปรียบลูกค้า อย่าไปเกรงใจ อย่าไปคิดว่าเขาคือคนไทยเหมือนเรา แต่ให้คิดว่าเขาคือมิจฉาชีพที่โกงเงินเรา ให้ต่อสู้ให้เต็มที่ และอย่าไปเสียเงินให้คนพวกนี้ แม้แต่แดงเดียว

9. เจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่นตำรวจ พนักงานสอบสวนที่รับแจ้งความคดีอาญา เทศกิจ เราอย่าไปยอมโอนอ่อนตามคำพูดของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ที่พูดเพื่อปฏิเสธการทำงาน ซึ่งเป็นนิสัยปกติของเจ้าหน้าที่ทั่วไปอยู่แล้ว
เพราะหากไม่เอาจริง เจ้าหน้าที่จะละเลยการทำงาน ทำให้คนชั่วลอยนวล คนทำผิดได้ประโยชน์มหาศาล ต้องขืนไว้ และติดตามเรื่องให้ถึงที่สุด เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายสัมฤทธิ์ผลที่สุด บ้านเมืองจะได้เจริญ
Read more ...

อย่าตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

10 ก.ย. 2553
เรียบเรียงมาจาก หลิวยง

- พ่อของเขาเป็นเภสัชกร มีตำรายามากมาย แต่อ่านไม่เข้าใจ ได้เห็นประโยชน์เมื่อตอนไฟไหม้บ้านข้าง ๆ เป็นผนังกันไฟได้ครั้งนึง

- พ่อของเขาร่ำเรียนเรื่องยามามาก แต่สุดท้ายก็ป่วยหนักและเสียชีวิต แม่เขาบอกว่า เป็นข้อเสีย เพราะทำให้ถือตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ โดยพ่อเขาสนิทกับหมอ จึงเอาแต่คุยเล่นกัน จนถ่วงเวลาการรักษายืดยาวออกไป สุดท้ายหมอบอกตรง ๆ ว่ารักษาไม่ไหว ขอให้ย้ายโรงพยาบาล

- เขาเคยรับการวินิจฉัยจากหมอผิดพลาด ทั้งที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ แต่หมอคนก่อน ๆ บอกไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อหมอที่วินิจฉัยถูกรักษาเขา หมอก็ด่าคนวินิจฉัยคนก่อน ๆ ให้เขาฟัง

- เมื่อเขาไปรักษาตา ซึ่งเป็นอาการเกี่ยวข้องกับไทรอยด์เป็นพิษ หมอตาก็ด่าหมอของเขา ว่า ฉีดยาอันตราย อาจมีผลถึงตายได้ เพราะต่อมไร้ท่ออาจไม่หลั่งฮอร์โมน

- เมื่อเขาเรียนจบ ม. ทำงานเป็นนักข่าว สายการแพทย์ ได้เห็นอะไรดี ๆ ในวงการสาธารณสุขไต้หวันมากมาย และได้พรรคพวกเพื่อนฝูงในวงการแพทย์จำนวนมาก

- หมอฝรั่งก็วินิจฉัยชุ่ย ๆ เยอะ เช่น เขาป่วยเป็นโรคปอด แต่กลับบอกว่าเป็นเพียงอาการเสียสมาธิเท่านั้น

- แม่เขาเส้นเลือดในสมองแตก ไม่นานก็เสียชีวิต ได้รู้ภายหลังว่าหมอรักษาไม่ครบถ้วน โดยการศึกษาตำราแพทย์ เพื่อนที่เป็นหมอ แนะนำว่า ถ้ามีหมอไปเป็นเพื่อนในการรักษา หมอที่รักษาจะทำครบถ้วนขึ้น เพราะมีคนวงในแนะนำ

- ระวังตกเป็นหนูลองมีด คือ หมอจะสะสมความชำนาญ กับคนไข้ที่ไม่กลัวการรักษา และพวกที่ไม่มีปากเสียง หรือพวกที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร

- คนรู้จักของเขาให้หมอที่อเมริกาผ่าตัด หมอบอกว่า รักษาไม่หาย ให้รอความตายในระยะเวลาอันใกล้ เมื่อนำกลับมารักษาที่บ้าน ให้หมอใกล้ชิดรักษา ผลสุดท้ายสามารถยืดอายุออกไปอีก 5 ปี และใช้ชีวิตเที่ยวรอบโลกได้อย่างมีความสุข

- เทคนิคเพื่อให้หมอจ่ายยาที่อยากได้ เช่น ยาลดคอเรสโตรอล คือ การกิน หรือการงดยาที่กินอยู่ แล้วไปตรวจ เพื่อให้ผลออกมามีคอเรสเตอรอลในร่างกาย

- สาเหตุที่เขียนตีแผ่กลโกงในวงการแพทย์ เนื่องจาก เพื่อนรักถูกกระทำโดยวงการแพทย์ และเพื่อนขอร้องให้ตีแผ่สิ่งที่เขามีความรู้ และสิ่งที่เพื่อนถูกกระทำ เพื่อประโยชน์ของสังคม

- เขาเขียนขึ้นตามข้อสังเกตของตนเอง

- เขียนเพื่อตีแผ่พฤติการณ์ลวงโลก และไม่ต้องการให้คนอื่นหลงกลซ้ำ

- สถิติของ นพ.Jerome Groopman แพทย์ ม.ฮาร์วาร์ด ระบุว่า ในอเมริกา 1 ใน 5 ของคนไข้ถูกรักษาผิดวิธี และทุกปีมีคนตาย โดยการรักษาที่ผิดพลาดถึง 90,000 คน
Read more ...

ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศดีที่สุดในโลก ลำดับที่ 58 จาก 100 โดย Newsweek

9 ก.ย. 2553
โดยมติชน เมื่อ 18 ส.ค.2553

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม เอเอฟพีรายงานว่า นิตยสาร "นิวสวีก" ของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่การจัดทำดัชนี

"100 ประเทศที่ดีที่สุดในโลก"

โดยการประมวลคะแนนของแต่ละประเทศบนพื้นฐานของข้อมูล 9 หมวดคือ 

1. ด้านการศึกษา, 
2. ภาวะสุขอนามัย, 
3. คุณภาพชีวิต, 
4. ภาวะยากจน ที่ดูจากสัดส่วนของประชากรซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยรายได้ต่ำกว่า 66 บาทต่อวัน, 
5. สภาวะแวดล้อมทางกายภาพของประเทศ, 
6. พลวัตทางเศรษฐกิจ, 
7. การประกอบธุรกิจ, 
8. สภาวะแวดล้อมทางการเมือง 

ผลปรากฏว่า

-ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 58 จากทั้งหมด 
-โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 62.17 คะแนน 

ในขณะที่ ฟินแลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, สวีเดน, ออสเตรเลีย และลักเซมเบิร์ก เป็นประเทศที่ถูกจัดว่าดีที่สุด 1-5 อันดับแรก ส่วนสหรัฐอเมริกาอยู่อันดับที่ 11


ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน ซึ่งมีการรวมไว้ในการจัดทำดัชนีครั้งนี้เพียง 6 ประเทศนั้น ไทยอยู่ในอันดับ 3 รองจาก

-สิงคโปร์ (อันดับ 20), 
-มาเลเซีย (อันดับ 37) โดยมี 
-ฟิลิปปินส์ (อันดับ 63) ต่อด้วย 
-อินโดนีเซีย (อันดับ 73) และ
-เวียดนาม (อันดับ 81) ตามลำดับ 

ในขณะที่ถ้ามองโดยภาพรวมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกด้วยกัน ไทยจะอยู่ในอันดับ 7 รองจาก

-ออสเตรเลีย (อันดับ 4), 
-ญี่ปุ่น (อันดับ 9), 
-นิวซีแลนด์ (อันดับ 13), 
-เกาหลีใต้ (อันดับ 15) 
-สิงคโปร์และมาเลเซีย แต่มีอันดับอยู่เหนือ
-จีน (อันดับ 59), 
-ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และเวียดนามตามลำดับ
Read more ...

วิธีเปลี่ยนอารมณ์บูด ให้อารมณ์ดีอย่างรวดเร็ว

5 ก.ย. 2553
โดยวอยซ์ทีวี เมื่อ 2 ก.ย.2553

เคล็ดไม่ลับกับวิธีรับมือเมื่อคุณต้องเจอกับ'อารมณ์บูด' เรามีวิธีทำให้ความเลวร้ายในอารมณ์นั้นหายไปจากชีวิตเร็ว ๆมาฝาก

เพราะใครๆก็คงไม่อยากอารมณ์บูด กันทั้งนั้น เราจะมีวิธีปรับอารมณ์บูดให้กลับมาสดใสอย่างรวดเร็วได้อย่างไร เรามีเคล็ดลับมาฝาก

1. เคล็ดลับข้อแรก คุณลองลงมือเขียนบันทึก เพราะการเขียนเรื่องที่ทำให้คุณอารมณ์บูดลงในสมุดไดอารี่ หรือบนบล็อกส่วนตัวของคุณเป็นอีกหนึ่งวิธีระบายความโกรธที่ดีทีเดียว ที่สำคัญมันสามารถช่วยได้โดยไม่ต้องรบกวนเพื่อน ญาติ ให้มารับฟังปัญหาของคุณอีกด้วย

2. เคล็บลับข้อต่อไป ให้คุณลองคิดถึงฉากภาพยนตร์ ละคร หรือเรื่องราวน่าประทับใจ แทนเหตุการณ์ที่ชวนอารมณ์ไม่ดี หรือจะฟังเพลงที่ชอบก็ได้ อาจจะช่วยได้อีกทาง

3. ถ้ายังไม่ดีขึ้น ให้ลองเข้าหาธรรมชาติ อาจจะออกไปอยู่ในสวน ชมต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ หรือออกไปเดินตากแดดอุ่น ๆ เดินชมแสงจันทร์ หรือหมู่ดาวยามค่ำคืน หรือแม้กระทั่งเขยิบตัวไปชิดหน้าต่างที่เปิดรับลมจากภายนอกก็ยังได้ ธรรมชาติจะช่วยให้จิตใจสงบ และผ่อนคลายลงจนทำให้คลายอารมณ์บูดได้

4. อีกวิธีนึงที่อาจช่วยได้ คุณลองก้มตัวลงไปเอามือแตะหัวแม่เท้า ค้างไว้สัก 1 นาที จากนั้นค่อย ๆ ยกตัวกลับขึ้นมา จะรู้สึกว่า อารมณ์ดีขึ้น เป็นเพราะร่างกายได้เหยียดยืด ความตึงเครียดตามอวัยวะต่าง ๆ จะหายไป ทำให้อารมณ์สดใสขึ้นได้

5. ถ้าคุณมักจะอยู่ในบ้าน ก็ให้ลองแปะภาพที่ให้ความรู้สึกดี ๆ ไว้บนประตูตู้เย็น อาจจะเป็นภาพประทับใจของครอบครัวก็ได้ค่ะ อาจช่วยให้เราระลึกได้ถึงวันเวลาดี ๆ เพื่อให้ความรู้สึกดี ๆ เหล่านี้เข้ามาช่วยขับอารมณ์บูดๆ ออกไปได้

6. ข้อต่อไป ให้คุณวางแผนลาพักร้อน เหนื่อยนักก็พักเสียเลย กางปฏิทินหาเวลาเหมาะ ๆ วางแผนลาพักร้อนไปเที่ยวกับครอบครัว และหากมีปฏิทิน ก็วงวันที่ด้วยปากกาสีสันสดใส ให้ตัวโต ๆ เวลาเดินผ่านจะได้นึกถึงช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึง จิตใจจะได้ผ่องใส

7. นอกจากนี้ ให้ลองเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนรอบข้าง ทำดีให้คนอื่น ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น นำหนังสือนิทานดี ๆ มาแบ่งปันให้เด็กๆ ในซอยฟัง หรืออาจจะซื้อกาแฟอร่อย ๆ มาฝากเพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมงาน หรือคลุกข้าวเผื่อเจ้าตูบหน้าปากซอยก็ได้ อิ่มบุญขนาดนี้ เดี่ยวอารมณ์ก็สดใสขึ้น

8. แต่ถ้าหากลองทำเคล็ดลับตามที่กล่าวมาแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้น ในทางพุทธศาสนาก็มีแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้ ลด-ละ-เลิก ความยึดมั่นถือมั่น ต้นเหตุของการเกิดอารมณ์ไม่ดี ช่วยเรียกสติกลับคืนมาด้วยการทำสมาธิ กำหนดจิตไว้กับลมหายใจ ปล่อยวางอดีต-อนาคต สิ่งภายนอก อยู่กับความพอดี พอใจในสิ่งที่มี เข้าใจในอารมณ์ และรู้ว่าอารมณ์นี้ไม่ใช่ของเรา สุดท้ายจะช่วยให้ปล่อยวาง และทำให้จิตใจสบายขึ้นได้อย่างแน่นอน
Read more ...

จุดเสื่อมของวงการฟุตบอลอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้านของไทย

5 ก.ย. 2553
โดยสยามกีฬา เมื่อ 31 ส.ค.2553

ผู้เขียน - ปูเป้

ความเฟื่องฟูของฟุตบอลไทยวันนี้...เป็นหนึ่งในความฝันที่ผมอยากเห็นมาตลอดชีวิตการทำงานสายข่าวกีฬาเป็นเวลากว่า 10 ปี

ผมเคยท่องยุทธจักรอาเซียน ตะลุยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เพื่อดูการพัฒนาการของฟุตบอลลีกอาชีพ ผมมักจะมุ่งเน้นไปในลีกของเพื่อนบ้านอย่าง 

อินโดนีเซีย, 
สิงคโปร์, 
เวียดนาม, 
มาเลเซีย ฯลฯ 

พวกนี้มากกว่า ที่จะมองชาติมหาอำนาจเอเชียอย่าง 

เกาหลีใต้, 
ญี่ปุ่น, 
จีน หรือ
ตะวันออกกลาง 

เพราะผมว่าพวกนั้นใหญ่เกินไป โตเกินกว่าที่เราจะฝันถึงได้

ช่วงเวลาที่เอสลีก สิงคโปร์ เจริญเติบโตปี 2001 ผมประจำการอยู่ที่นั่น 1 ปีเต็มๆ เห็นแนวทางการสร้างฟุตบอลอาชีพของพวกเขา ซึ่งเป็นชาติแรกในอาเซียนที่กล้าจ้างนักเตะไทยไปเล่นในเรตเงินเดือนเดือนละหลายหมื่นจนถึงหลักแสน นักเตะไทยระดับเกรดเอ ทีมชาติชุดใหญ่แห่ไปขุดทองที่นั่นร่วม 20 คน แต่ก็เห็นปัญหา เห็นจุดอ่อน มากมายหลายด้านเช่นเดียวกัน

เวียดนามผมก็ใช้เวลาไปเดินท่อมๆ ขึ้นเหนือลงใต้ สำรวจการพัฒนาการของวีลีก ตั้งแต่ ฮอง อันห์ ยาลาย, บินห์ ดินห์, ดานัง, ฮานอย, โฮจิมินห์, ฮอยอัน ฯลฯ ชื่นชมกับความคลั่งไคล้ลูกหนังของพวกเขา แต่ก็รับรู้ว่าปัญหาใหญ่ๆ ของวงการฟุตบอลเวียดนามคืออะไร

นอกนั้นมาเลเซียที่บูมฟุตบอลอาชีพก่อนใครเพื่อนตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ในยุคของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์, อรรถพล ปุษปาคม ฯลฯ ไปค้าแข้งอยู่ผมก็มีโอกาสแวะเวียนไปบ่อยๆเช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่ผู้คนคลั่งไคล้ฟุตบอลลีกมาก

ยอมรับครับว่า ผมแอบอิจฉาชาติเหล่านี้มาตลอดที่ฟุตบอลเขาบูมมาก คนดู รัฐบาล ให้ความสำคัญกับฟุตบอลลีกสุดๆ ผมไม่คิดว่าฟุตบอลไทยจะก้าวข้ามพวกเขาได้เพราะในอดีตฟุตบอลไทย คนดูน้อยกว่าผู้เล่นในสนามซะอีก

วันนี้ฟุตบอลไทยมาไกลเหลือเกิน เรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งยอดผู้ชม, การบริหารจัดการ คุณภาพ มาตรฐาน ทิ้งทุกลีกในอาเซียนอย่างเทียบกันไม่ติด
แต่ความสำเร็จของฟุตบอลไทยวันนี้ ยังนับไม่ได้ว่ายั่งยืนอย่างแท้จริง...หากเรามองย้อนกลับไปยังลีกเพื่อนบ้านที่เคยเดินมาถึงจุดที่ไทยยืนอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความตกต่ำอย่างที่เห็น

อะไร?คือปัจจัยเหล่านั้น ที่ทำให้ลีกหลายๆ ชาติในอาเซียน ต้องดิ่งเหว!! 

เริ่มจาก

มาเลเซีย 
ที่เริ่มบูมเอ็มลีกก่อนใครเพื่อน แรกๆก็ได้รับความนิยมจนดึงนักเตะไทยระดับบิ๊กเนมในยุค 20 ปีที่แล้วไปร่วมทีมเป็นว่าเล่น แต่คนมาเลเซียชอบเล่นการพนันไม่ต่างจากคนไทย เซียนบอลใช้ทางลัดด้วยการจ้างนักเตะล้มบอล ก่อนที่รัฐบาลมาเลเซียจะเอาจริงตามสืบและลากเข้าซังเตได้นับร้อยคน

จากวันนั้น แฟนบอลมาเลเซียก็ไม่ไว้วางใจลีกของตัวเองอีกเลย คนดูเข้าไปชมเกมน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายวันนี้ลีกมาเลเซียมีแฟนบอลนัดละไม่กี่ร้อยคน รอวันเอวังเท่านั้นเอง

สิงคโปร์
วางโครงสร้างในเรื่องฟุตบอลอาชีพอย่างดี ทั้งเงินอุดหนุนจากรัฐบาล การตั้งร้านรับพนันถูกกฎหมายรองรับ ฯลฯ แต่สุดท้ายคนสิงคโปร์เกาะเล็กๆ ที่สนใจกีฬาน้อยกว่า ความอยู่รอดของชีวิต ก็เริ่มเบื่อฟุตบอลประกอบกับ นักเตะลอดช่องไม่กลัวกฎหมายมีการรับเงินล็อกสกอร์ ถล่มโต๊ะสิงคโปร์พูลเข้าให้อีก วันนี้ฟุตบอลเอสลีก มีคนดูแค่หยิบมือเดียว

เวียดนาม 
ธรรมชาติของผู้คน ของวงการฟุตบอล คล้ายๆกับคนไทย ต้องผจญกับมารลูกหนังทุกรูปแบบ ทั้งล้มบอล ความรุนแรงในสนาม นักเตะไล่กระทืบผู้ตัดสินบ้าง ที่รุนแรงที่สุดก็คือแฟนบอลยกพลตีกัน เผาสนามเมื่อปี 2007 ทำให้ความศรัทธาของแฟนบอลถดถอย

ลองไปดูชาติใหญ่ๆอย่าง

จีน
กันบ้าง ไชน่า ลีกของพวกเขาน่าจะเติบโตและบูมสุดขีด หากดูจากจำนวนประชากร การเอาจริงเอาจัง แต่สุดท้ายนักเตะจีนเล่นไปล้มบอลไป แถมแจ็กพอตแตกผู้ตัดสินถูกจ้างให้เป่าเข้าข้าง โดนตำรวจซิวเข้าห้องกรงไปอีก ใหญ่ขนาดพญามังกร ยังเอาฟุตบอลลีกไม่รอด

นี่คืออุทาหรณ์ บทเรียน สำหรับฟุตบอลลีกเมืองไทย...ฟุตบอลบ้านเรา กำลังเดินมาถูกทาง แฟนๆนิยมชมชอบศรัทธากำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจะเลือกอะไร? ระหว่างกองเชียร์ไล่กระทืบกัน...นักเตะต่อยกันในสนาม...จ้างผู้ตัดสินเป่าเข้าข้าง...หรือจ้างล้มบอล

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุแห่งความ "หายนะ" ของวงการฟุตบอลไทยทั้งสิ้น ช่วยๆกันเลือกครับ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของฟุตบอลบ้านเรา!!
Read more ...

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget