47 โรนิน

25 ส.ค. 2553

ตำนาน 47 โรนิน ภายใต้การเรียบเรียงในชื่อ THE STORY OF 47 RONIN ซึ่งเขียนในภาคภาษาอังกฤษ โดย JOHN ALLYN ไม่เพียงได้รับการยอมรับในเชิงความงามจากข้อเขียน และคุณค่าสำคัญว่า สามารถถ่ายทอดคุณค่าในแง่มุมแห่งตัวตน และจิตวิญญาณของบูชิโด ได้อย่างแจ่มชัด

เลือดเนื้อลมหายใจแห่งบูชิโด นับถือเกียรติยศและศักดิ์ศรี ดุจลมหายใจในแต่ละย่างก้าวของชีวิต ในทุกขั้นตอนของความเป็นซามูไรซึ่งมีค่ามากกว่าชีวิต ได้สร้างความยิ่งใหญ่ตราตรึงในทุกครั้งที่ได้นั่งอ่าน จากเรื่องราวแห่งเกียรติยศซึ่งนำกลับคืนสู่นายผู้ล่วงลับ

ด้วยความจงรักภักดีจากชีวิต เพื่อทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในโลกของเหล่าซามูไร ผู้เลือกจะมีเพียงนายหนึ่งเดียวของชีวิต

เรื่องราวเพื่อการเดินทางสู่ความตาย อาจเบาบางเพียงลมหายใจซึ่งออกจากร่าง แต่ไม่ใช่เพียงข้อความจากเรื่องบอกเล่าเพื่อความสนุกสนาน ปริศนาอันง่ายดายของการถกเถียง ที่ซับซ้อนขึ้นมาพร้อมดาบสองเล่ม เกิดขึ้นจากขั้นตอนในการฝึกฝนตนเอง เพื่อการดำรงอยู่ในท่ามกลางเกียรติยศ อันมิใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่วิถีทางที่ผู้คนทั่วไปจะสามารถปฏิบัติได้ ด้วยแต่ละก้าวเดินไปสู่หนทางแห่งความตาย ล้วนมีเกียรติยศเป็นเครื่องประดับใจ

ตัวเอกของเรื่องในบทบาทของหัวหน้าซามูไร แห่งปราสาทของไดเมียวผู้ล่วงลับอย่างอัปยศ นามของ โออิชิ เด่นชัดอย่างยิ่งสำหรับความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีทั้งความหวาดหวั่นและหวาดกลัว ด้วยตัวตนดั่งเดิมของมนุษย์ผู้มีความรัก

นักดาบผู้มีฝีมือแห่งปราสาทบ้านนอก ซึ่งมีลูกและครอบครัวอันอบอุ่นเป็นเครื่องค้ำใจ แต่เมื่อบทพิสูจน์แห่งความภักดีได้เริ่มต้นขึ้น หลังได้ยินความสูญเสียของนาย จากเกียรติยศที่ไม่เพียงจะไม่ได้รับการยกย่อง ซ้ำยังถูกเติมความเจ็บแค้นด้วยการเย้ยหยัน จากความฉ้อฉลที่ผู้คนบางประเภท ซึ่งนิยมใช้ปากคำประหัตประหาร มากกว่าจะใช้ความกล้าหาญของดาบอันเป็นเกียรติยศซามูไรคอยตัดสิน

การยกย่องให้ความตายอันงดงามเป็นเกียรติยศขั้นสูงสุด จึงถูกลบล้างด้วยลมปากและความฉ้อฉล

คำถามภายในเนื้อเรื่อง ไม่เพียงพูดกับเราด้วยเรื่องราวของเกียรติยศและศักดิ์ศรี ที่คาดเดาได้ถึงบทสุดท้ายว่าเป็นความตายเท่านั้น แต่เนื้อเรื่องยังตั้งคำถามและสร้างโจทย์ให้กับเราอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านบททดสอบของตัวตน ผ่านการตีความด้วยคำพูดของผู้คนรอบข้าง ผ่านความอ่อนแอเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจ หรือกระทั่งการโหยไห้อาลัยกับความสูญเสียของคนรัก

แม้สามารถฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่ง ให้ผ่านความยากลำบากมาได้เพียงใด คำถามเหล่านั้นก็ยังคอยวนเวียน

แต่เมื่อต้องทนเห็นคนที่ตนเองรัก ต้องทนทุกข์เจ็บปวด คำถามว่าจะสามารถอดทนได้มากเพียงใดนั้นคือสิ่งสำคัญ เพราะแม้เราจะเข็มแข็งจนไม่มีหยาดน้ำตา แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราไม่อาจเข้มแข็งพอจะเห็นหยาดน้ำตาของคนที่เรารักได้เกิดขึ้นได้ มิหนำซ้ำหยาดน้ำเหล่านั้น ยังเกิดจากความใจแข็งของเรา

แรงปะทะของชีวิตจากภาพครอบครัวอันอบอุ่น มีภรรยาผู้งดงามเสียสละ ลูกสาวที่น่ารัก และลูกชายวัยหนุ่มที่เชื่อมั่นว่า จะเติบโตขึ้นมาเป็นซามูไรผู้กล้าหาญ พังทลายไปพร้อมกับนาย

ไดเมียวผู้นับเขาเป็นดั่งสหายร่วมรบ ยกย่องให้เกียรติจากการร่วมเส้นทางของชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ เกียรติยศทั้งหมดเดินไปพร้อมทำนองคลองธรรม เมื่อนายได้กล่าวสิ่งใด สิ่งนั้นคือสิ่งที่เขาต้องทำและปฏิบัติตาม ด้วยความสุขุมเยือกเย็น เลือกและปฏิบัติพร้อมกับความอดทนและการกระทำ

ในแต่ละบทประทับใจ โออิชิ ล้วนเป็นผู้กล่าวประโยคแห่งจิตวิญญาณ ในแทบทุกครั้งของความขัดแย้ง ในทุกครั้งที่ถูกตั้งคำถามถึงเส้นทาง และภารกิจอันพึงกระทำ เพื่อบรรลุผลแห่งการฝึกฝนด้วยเป้าหมายของจิตวิญญาณอันแท้จริง

เขากล่าวถึงจุดจบอันมีเกียรติและศักดิ์ศรี ในท่ามกลางความคลางแคลงใจของผู้ร่วมภารกิจว่า จงรักษาความเข้มแข็งนี้ไว้ดุจต้นอ้อ ที่ลู่ไปตามแรงของสายลมแห่งโชคชะตา

ไม่ว่าจะตีความในด้านใด ความงดงามของถ้อยประโยคได้บอกถึงการบรรลุต่อจุดมุ่งหมาย ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจต่อวิถีปฏิบัติเท่านั้น แต่ดวงใจอันเข้มแข็ง ซึ่งจำต้องผูกพันตัวตนไว้กับวิถีปฏิบัติอันเข้มงวด คือสิ่งสำคัญคู่ขนานวิญญาณซึ่งถูกหล่อเลี้ยง

ตลอดระยะเวลาของการเติบโตเพื่อฝึกฝนตัวตนให้เป็นซามูไรที่มีเกียรติ เพียงพอให้เราเข้าใจว่า เส้นทางสู่เป้าหมายไม่ใช่เพียงหนทางแห่งการถกเถียง แต่คือการทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยศรัทธา

ซึ่งอาจยากลำบากในการฝืนตัวตนและจิตวิญญาณ เพื่อบรรลุผลสัมฤทธิ์แห่งจุดหมายปลายทาง แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเจ็บปวดในระหว่างเส้นทางก็ตาม

คำอธิบายเพิ่มเติมถึงสิ่งที่เจ็บปวดว่า แม้จะสูญเสียสิ่งซึ่งตนรักไป แต่ไม่ควรจะสูญเสียศรัทธาในการนำมันกลับคืนมา ช่วยตอบเราได้ดีถึงแง่มุมแห่งการปฏิบัติฝึกฝนตัวตน

เพราะซามูไรไม่ใช่เพียงการพกดาบ ไม่ใช่การมีดาบก็เพียงพอจะเป็นได้

แต่เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในจิตวิญญาณ และการฝึกฝนอันเข้มงวด ที่จะนำพาเขาเหล่านั้นไปสู่พลังอันยิ่งใหญ่

เมื่อถูกถามถึงความสับสนภายในใจของผู้ตาม ผู้นำเช่น โออิชิ ได้ตอบเรื่องราวทั้งมวล ด้วยข้อความสั้นๆว่า เมื่อสายลมของวันพรุ่งนี้พัดมาไม่ถึง ข้าจะกังวลก็ต่อเมื่อเวลานั้นมาถึง

ล้วนทำให้เรารับรู้ว่าการฝึกฝนอย่างหนักทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ไม่เพียงสะท้อนออกมาเป็นคำพูดได้เท่านั้น แต่ต้องสะท้อนออกมาในทุกย่างก้าว ซึ่งต้องเข้มแข็ง

แม้ในยามที่ใจของเขาหวั่นไหว ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดจากการถูกผู้อื่นตีความและประณาม ในแต่ละขณะก้าวของผู้นำเช่นเขา เมื่อจำต้องพยายามให้บรรลุ คำว่ากลืนเลือดในปากซึ่งกลบฉ่ำของเขา คงไม่พอให้ใครเข้าใจได้ถึงแรงพยายามเหล่านั้น

คำกล่าวของโออิชิ ที่มีต่อลูกชายหลังถามถึงความตั้งใจเพื่อร่วมภารกิจแห่งความตาย เสมือนจะไม่ชมเชย พร้อมทั้งให้โอกาสผู้อื่นด้วยการผ่อนปรนอย่างเสมอ ช่างเป็นประโยคที่งดงาม เมื่อเขากล่าวว่า เจ้าก้าวเข้าสู่สมรภูมินี้ด้วยตนเอง

เท่าเทียมกับความงดงามของท่อนประโยคเพียงครั้งเดียวในเรื่องราว ซึ่งแทบจะสรุปหัวใจและแก่นแกนทั้งหมด ของภารกิจแห่งเกียรติยศศักดิ์ศรีครั้งนี้ไว้ เมื่อเขากล่าวเชื่อมโยงประโยคว่า บางคนจะหันหลังให้เรา ถ้ากลิ่นของสงครามโชยมา

จนกระทั่งบทสรุปแห่งจิตวิญญาณของผู้คนประเภทหนึ่ง ที่เป็นหัวใจแห่งเรื่องราวนี้ว่า คนบางคนใช้ชีวิตไปจนตาย โดยไม่รู้ว่าเส้นทางไหนที่ถูกต้อง พวกเขาล่องลอยไปตามกระแสลม และไม่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองกำลังไปทางไหน นั่นเป็นชะตากรรมของคนส่วนใหญ่ ผู้ซึ่งไม่มีทางเลือกเหนือชะตากรรมของตน

สำหรับพวกเราผู้เกิดมาเป็นซามูไร ซึ่งมีชีวิตแตกต่างจากนั้น พวกเรารู้เส้นทางของหน้าที่ และเราก็ไปตามทางนั้นโดยปราศจากความสงสัย โดยสิ่งสำคัญที่โออิชิ ไม่ได้ตอบไว้กับคนอื่น เพื่อผลสุดท้ายในภารกิจ

พวกเขาจะได้มีโอกาสทิ้งเครื่องแบบอันยิ่งใหญ่ในใจ ไปสู่ดินแดนซึ่งมีชุดแห่งจิตวิญญาณประดับกายไว้ ในวันอันยิ่งใหญ่ของชีวิตเพื่อกลับคืนสู่ชีวิตปกติอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตซึ่งมีเรื่องราวของการกลับคืนแห่งวิญญาณบริสุทธิ์

สู่เส้นทางไกลครั้งสุดท้ายด้วยลมหายใจจากชีวิตพวกเขาเหล่านั้น และจะมีคุณค่าใดที่ยิ่งใหญ่มากมายไปกว่านี้ เมื่อได้เข้าใจความหมายของชีวิต และเรายังต้องการสิ่งใดอีกเล่า นอกจากการได้รู้จุดหมายของตนเอง
Read more ...

JMG ACADEMY THAILAND

16 ส.ค. 2553
28 ตุลาคม 2008

"เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นหูชาวไทยมากมายนักในนาทีนี้ แต่ในอนาคตเบื้องหน้ารับประกันได้เลยว่าคนไทยต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะนี่คือสถาบันฝึกลูกหนังระดับโลกที่มาตั้งฐานประจำการอยู่ในเมืองไทยได้ กว่า 7 เดือนเต็มแล้ว

"เจเอ็มจี" ย่อมาจากชื่อเต็มของ

ฌอง มาร์ค กีล์ลูส์ ตำนานนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส 

ที่ได้ก่อกำเนิดสถาบันลูกหนังโลกแห่งนี้ขึ้นมาที่บ้านเกิดของตัวเอง โดยมี อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของสถาบัน

จากสาขาแรกที่ฝรั่งเศส "เจเอ็มจี" ขยายกิ่งก้านสาขาสู่ระดับโลกด้วยการไปตั้งสถาบันในแถบกาฬทวีปที่ ไอเวอรี โคสต์ และ มาดากัสการ์ เพราะเล็งเห็นว่านักเตะแอฟริกามีความแข็งแกร่งและมีความสามารถ "เจเอ็มจี" จึงเข้าไปผลิตนักฟุตบอลส่งเข้าสู่ตลาดลูกหนังในทวีปยุโรปหลายต่อหลายคน

ผลผลิตของ "เจเอ็มจี" ที่ออกดอกออกผลให้รู้จักกันในเวทีแข้งระดับโลกตอนนี้คือ โคโล ตูเร และ เอ็มมานูเอล เอบู สองนักเตะของทีมอาร์เซนอลในศึกพรีเมียร์ลีกแดนผู้ดี นอกจากนั้นยังมีนักเตะอาชีพอีกประมาณ 40 คน ที่ค้าแข้งอยู่ในลีกชั้นนำของยุโรป

สำหรับ "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" ถือเป็นสาขาแรกของทวีปเอเชีย โดยมี 

โรเบิร์ต โปรกูเรีย ฝรั่งหัวใจไทย

ที่หลงเสน่ห์มาใช้ชีวิตที่เมืองไทยกว่า 15 ปี แล้วทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทั่วไป และมี คริสตอฟ ลาฮุยส์ ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน

"ผมรักเมืองไทย และต้องการอยากจะเห็นนักฟุตบอลไทยและวงการฟุตบอลไทยพัฒนามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความฝันที่อยากเห็นทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก ผมจึงติดต่อ ฌอง มาร์ค กีล์ลูส์ ให้มาเปิดสถาบันเจเอ็มจี ที่เมืองไทย" โปรกูเรีย เล่าถึงที่มาของเจเอ็มจีสาขาแรกในเอเชีย

"เจเอ็มจี" เริ่มต้นด้วยการทุ่มงบประมาณ 10 ล้านบาทในการเนรมิตพื้นที่ 12 ไร่ บริเวณสนามฟุตบอลเบียร์ช้าง ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ขึ้นมาเป็นฐานทัพที่มีพร้อมสรรพทั้งอาคารสถานที่พัก สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล โดยสถานที่ทั้งหมดได้รับการตกแต่งอย่างโออ่าสวยงามระดับรีสอร์ทเลยทีเดียว

หลังจากนั้น "เจเอ็มจี" ตระเวนไปคัดเลือกนักฟุตบอลระดับเยาวชนอายุ 12-13 ปี ทั่วประเทศเพื่อคัดสุดยอดนักเตะเพียง 16 คนเพื่อเข้าสู่ "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" รุ่นที่ 1 โดยการคัดเลือกตัวค่อนข้างจะแปลก เพราะ "เจเอ็มจี" สั่งนักเตะถอดรองเท้าแล้วให้ลงเล่นแบบ เท้าเปล่า

เมื่อได้นักเตะครบ16 คนแล้ว ทุกคนต้องเซ็นสัญญาระยะยาว 7 ปี กับ "เจเอ็มจี" เพื่อเข้าเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังแบบกินนอนอยู่ประจำกับสถาบันเป็นเวลา 7 ปีเต็ม โดยมีเป้าหมายว่า เมื่อครบ 7 ปี นักฟุตบอลเหล่านี้จะถูกส่งไปเล่นฟุตบอลอาชีพในทวีปยุโรป

คริสตอฟ ลาฮูยส์ โค้ชยอดฝีมือของ "เจเอ็มจี" ที่ผ่านการปั้นนักเตะในกาฬทวีปมาแล้ว 5 ปีเต็ม ทั้งที่มาดากัสการ์ 3 ปีและไอเวอรี โคสต์ 2 ปี บอกว่าหลักสูตรการฝึกซ้อมทั้งหมดจะเป็นมาตรฐานเดียวกันของ "เจเอ็มจี" ทั่วโลก

"ปรัชญาของเราคือพัฒนาเทคนิคให้นักฟุตบอลมีความชาญฉลาดในการเล่น ทั้งความสามารถเฉพาะตัว และไอเดียในเกม โดยจะเน้นฝึกพื้นฐานทุกวัน และการฝึกซ้อมจะต้องสนุกไม่ทำให้เด็กเบื่อ ต้องฝึกกับลูกฟุตบอลตลอดอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อวัน"

สูตรเด็ดของ "เจเอ็มจี" คือนักฟุตบอลจะต้องลงฝึกซ้อมแบบ ตีนเปลือย เหมือนกับตอนที่คัดเลือกตัว โดยแต่ละวันทุกคนจะไม่มีสิทธิได้ใส่สตั๊ดในการฝึกซ้อมทั้งช่วงเช้าและเย็น

"การเล่นด้วยเท้าเปล่าเป็นการฝึกควบคุมลูกฟุตบอลอย่างดี ทุกคนจะได้ฝึกให้เคยชินกับลูกฟุตบอลให้มากที่สุด โดยช่วง 2-3 ปีแรกจะไม่ให้ใส่รองเท้าแบบนี้ไปตลอด หลังจากนั้นพอเริ่มใส่รองเท้าก็จะเกิดความรู้สึกว่าเล่นเหมือนไม่ใส่รองเท้า เลย" คริสตอฟ อธิบายสูตรเด็ดของ "เจเอ็มจี"

นักฟุตบอลรุ่นแรกของ "เจเอ็มจี" เมืองไทยได้เข้าเรียนที่สถาบันมาตั้งแต่เดือนเมษายน รวมเวลาจนถึงตอนนี้ก็ 7 เดือนแล้ว และมีเพื่อนนักเตะจาก "เจเอ็มจี อคาเดมี ไอวอรี โคสต์" เดินทางข้ามโลกมาร่วมฝึกด้วยอีก 4 ชีวิต รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดมี 20 คนในตอนนี้

กิจวัตรประจำวันของนักเตะทั้งหมดจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง หลังจากนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ชุด คือคนที่เรียนอยู่ ป.6 และ ม.1 โดยชุดแรกจะแบกเป้ไปเรียนหนังสือที่ ร.ร.ชุมชนบ้านอ่างเวียน ส่วนชุดที่ 2 จะลงฝึกซ้อมช่วงเช้าเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็มตั้งแต่เวลา 08.00-10.00 น. โดยเน้นพื้นฐานเป็นหลัก

หลังจากฝึกซ้อมเสร็จชุดที่สองจะไปเรียนหนังสือ ส่วนชุดแรกจะกลับจากโรงเรียนมาฝึกซ้อมตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. เสร็จแล้วในช่วงบ่ายก็จะกลับไปเรียนหนังสือต่อตามเดิม จนถึงเวลา 15.30 น. นักเตะทั้งสองชุดจะกลับมาที่สถาบันเพื่อเรียนภาษาอังกฤษ โดยมีการจ้างครูมาสอนพิเศษแบบใกล้ชิด

จนกระทั่งเวลา 16.00 น. จะเป็นการฝึกซ้อมช่วงเย็นที่จะเริ่มจากการ เดาะบอล เพราะจะมีการสอบเดาะบอลทุกวันจันทร์ โดยมีโจทย์ว่าเดาะ 7 ท่า 700 คะแนน คือ 1.เท้าซ้ายอย่างเดียว 2.เท้าขวาอย่างเดียว 3.เท้าซ้าย-เท้าขวา 4.หัว 5.เท้า-เข่า 6.เท้า-เข่า-หัว 7.เท้า-หน้าอก

ในช่วงแรกๆ นักเตะเกือบทั้งหมดเดาะกันได้ไม่กี่สิบครั้ง แต่ถึงตอนนี้มาตรฐานของทุกคนอยู่ที่ 500 กว่าครั้ง และบางคนทำได้ถึง 700 คะแนนเต็ม แถมยังมีลีลาการเดาะบอลด้วยท่าแปลกๆ อย่าง ท่าแมวน้ำ โชว์อีกต่างหาก

นอกจากการฝึกเดาะบอลเพื่อสร้างพื้นฐานให้ปึ้กแล้ว การฝึกซ้อมในช่วงเย็นจะตามมาด้วยการลงเกมในแบบ 7 ต่อ 7 แต่ถ้าวันไหนฝนตกจะเล่นแบบ 10 ต่อ 10 โดยทีมชนะในแต่ละวันจะได้สิทธิลงเล่นในสระว่ายน้ำ หรือได้รางวัลเป็นขนมและไอศกรีม

ส่วนเวลายามค่ำจะเป็นช่วงผ่อนคลาย ทุกคนมีเวลาที่จะทำการบ้าน ดูโทรทัศน์ เล่นเกม แทงสนุกเกอร์ หรือตีปิงปองตามที่สถาบันจัดหาโต๊ะมาไว้ให้เด็กๆ ได้เล่นกัน จนถึงเวลา 21.30 น. ทุกคนต้องเข้านอนแบบห้ามบิดพลิ้ว

การฝึกซ้อมแต่ละวัน คริสตอฟ จะดูแลอย่างใกล้ชิด หากว่าใครไม่มีความตั้งใจในการฝึมซ้อมจะถูกไล่ออกจากสนามทันที และหากไม่เชื่อฟังหรือทำตัวไม่อยู่ในกฎระเบียบจะถูกเรียกเข้าห้องเย็นเพื่อ อบรมแบบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

"ต้น-ต๋อง" ณัฐพร-ณัฐพงษ์ ศรีคง คู่แฝดที่จะผ่านการคัดเลือกตัวจากเมืองกรุงกล่าวถึงการเรียนที่ "เจเอ็มจี" ว่า

"ผ่าน 7 เดือนมาแล้วผมว่าตัวเองเก่งขึ้นเยอะเลยครับ ต่างจากตอนมาแรกๆ เยอะเลย อยู่ที่นี่มีความสุขดีครับ กินอยู่สบายฝึกซ้อมได้เต็มที่ ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ก้าวไปติดทีมชาติไทย หรือไปเล่นฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศครับ"

จากวันแรกมาถึงวันนี้นักเตะ "เจเอ็มจี" เริ่มแสดงความสามารถออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ทั้งการพาทีมร.ร.ชุมชนบ้านอ่างเวียน คว้าแชมป์ในรายการต่างๆ รวมถึงในการลงทีมอุ่นเครื่องหลายๆ ครั้งพวกเขามักจะพบชัยชนะแม้ว่าจะเจอเด็กที่โตกว่าก็ตาม แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ คริสตอฟ ต้องการในตอนนี้

"ช่วง 2-3 ปีแรกจะเน้นการฝึกพื้นฐานเป็นหลักไม่เน้นผลแข่งขัน แต่พอหมด 3 ปีแล้วถึงจะเน้นการลงทีมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอาจจะสร้างทีมสโมสรของตัวเองขึ้นมาเพื่อส่งแข่งในรายการต่างๆ จนกระทั่งครบ 7 ปี ทุกคนจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัว"

"เจเอ็มจี" มีพันธมิตรอยู่หลายสโมสรในยุโรป โดยเฉพาะทีม เบฟเวอเรน ในเบลเยียมที่จะเป็นทีมแรกในการรองรับนักเตะของ "เจเอ็มจี" ทั่วโลก หากว่าครบ 7 ปีเด็กไทยก็จะไปเริ่มต้นที่เบฟเวอเรน และหากฟอร์มเข้าตาก็มีโอกาสที่จะก้าวไปเล่นในสโมสรอื่นได้ นั่นเท่ากับว่าจะนำมาซึ่งรายได้มหาศาล

คริสตอฟ ค่อนข้างที่จะมีความมั่นใจมากกว่าลูกศิษย์ของเขาว่าจะสามารถพัฒนาฝีเท้าแล้ว โกอินเตอร์เล่นในยุโรปได้แน่ หรืออย่างน้อยๆ ก็สามารถเล่นในลีกดังของเอเชียอย่าง เคลีก เกาหลีใต้ หรือเจลีก ของญี่ปุ่น

"อีก 3-4 ปีเด็กพวกนี้จะเล่นในระดับไทยลีกได้สบายๆ และพอครบ 7 ปีจะไปเล่นในยุโรปได้แน่นอน ดูแล้วน่าจะมีเกินกว่า 10 คนที่ไปเล่นในลีกของยุโรป เพราะทักษะของเด็กไทยดีมากๆ ดีกว่าเด็กในแอฟริกาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันก็เป็นการเร็วไปที่จะบอกได้ว่าใครจะไปถึงยุโรปบ้าง"

แม้นักเตะทุกคนจะมีสัญญากับ "เจเอ็มจี" 7 ปี แต่หากทีมชาติไทยต้องการตัวไปรับใช้ชาติ "เจเอ็มจี" ก็ไม่มีปัญหาอย่างใด เพราะในมาดากัสการ์ หรือไอเวอรี โคสต์ ก็แทบจะยกชุดนักเตะของ "เจเอ็มจี" ไปเล่นทีมชาติ ที่สำคัญคือ "เจเอ็มจี" มุ่งมั่นที่จะทำชาติไทยให้ประสบความสำเร็จด้วย
"นักฟุตบอลของเจเอ็มจีสามารถที่จะพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ได้ เพราะเรามาเมืองไทยเพื่อสิ่งนี้ ผมบอกได้เลยว่าอีก 6 ปีข้างหน้าทีมไทยจะเก่งกว่า จีน ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ หากว่าทุกคนอยู่ในหลักสูตรของเจเอ็มจี ครบ 7 ปีเต็ม"

ระยะเวลา 7 ปีอาจจะดูยาวนาน แต่สำหรับการสร้างนักเตะระดับคุณภาพคงไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนานแต่อย่างใด และเมื่อถึงตรงนั้นขอได้ดูคำตอบกันว่า "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" จะทำความฝันของนักเตะไทยทั้ง 16 คน และความฝันของแฟนบอลไทยจะเป็นจริงได้หรือไม่

เครดิต คอบอลไทย


Read more ...

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ จากวิกรม กรมดิษฐ์

12 ส.ค. 2553
วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครพูดถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ

1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น

- ธุรกิจการเมือง 
- ธุรกิจราชการ 
- ธุรกิจการศึกษา 

ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ

ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญา หรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึง ความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60 - 70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง

การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง

โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็นจีโอบางกลุ่ม อิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดี ๆ ก็มี

แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีมเวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคมข้อสุดท้าย!
Read more ...

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget