กลุ่มหนุนสันติวิธีจับกลุ่มอ่านหนังสือ "1984" ต้านรปห. กลางลานสกายวอร์ค บีทีเอสช่องนนทรี

29 พ.ค. 2557
โดยข่าวสด เมื่อ 29 พ.ค.2557

เวลา 18.00 น. วันที่ 29 พ.ค. ที่ลานสกายวอร์คสถานีบีทีเอส ช่องนนทรี มีนักกิจกรรมด้านสันติวิธีทั้งชายและหญิงประมาณ 10 คน ชวนกันมาอ่านหนังสือต้านรัฐประหาร

โดยน.ส.พิมพ์สิริ (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมรายหนึ่งเปิดเผยว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงถึงอารยะขัดขืน ไม่ยอมรับการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้ทำลายระบอบประชาธิปไตย กิจกรรมเน้นแสดงออกอย่างสงบ ไม่ตะโกน ไม่ชูป้าย หลีกเลียงการปะทะ ส่วนหนังสือที่เลือกนำมาอ่านได้แก่ หนังสือประเภทสังคมการเมืองและวรรณกรรมที่กล่าวถึงการครอบงำทางความคิดและเผด็จการ เช่น หนังสือ 1984 ของนักประพันธ์ชื่อจอร์จ ออเวลล์

อย่างไรก็ตามทางกลุ่มได้นัดหมายทำกิกรรมกันทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คซึ่งก่อนหน้านี้ได้จัดกิจกรรมดังกล่าาวไปครั้งหนึ่งแล้วที่หอศิลปวัฒนธรรม กทม. แยกปทุมวัน และจะจัดต่อไปเรื่อยๆ ตามความสะดวกและความเหมาะสมของกลุ่มฯ ทั้งนี้กลุ่มมีความประสงค์ที่จะให้กิจกรรมถูกเผยแพร่ออกไปยังสาธารณะมากขึ้น เพื่อคนที่ไม่ยอมรับอำนาจจะรวมตัวจัดกิจกรรมนี้ในที่สาธารณะที่ใดก็ได้ และไม่จำกัดจำนวนคน จะมากหรือจะน้อยก็ได้ กลุ่มฯเชื่อว่าผู้มีอำนาจและผู้สนับสนุนเผด็จการจะไม่คุกคามข่มขู่ผู้ที่ทำกิจกรรมดังกล่าว เพราะขณะนี้กรุงเทพฯได้ฉายาว่าเมืองหนังสือโลก มีความจำเป็นต้องปกป้องและสนับสนุนสิทธิและเสรีภาพมากกว่าสนับสนุนเผด็จการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างกิจกรรม มีประชาชนทั่วไปเดินสัญจรไปมา และถ่ายรูปไว้ด้วยความแปลกใจ ทั้งนี้การอ่านหนังสือต้านรัฐประหารใช้เวลาประมาณ 1 ชม. จากนั้นกลุ่มฯจึงแยกย้าย โดยไม่มีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด และทางกลุ่มฯได้นัดหมายอ่านต้านรัฐประหารอีกครั้ง ที่ลานสกายวอร์ค บีทีเอสช่องนนทรี เวลา 17.00 น. วันที่ 30 พ.ค.
Read more ...

5 เหตุผลที่จะทำให้การทำงานที่ออฟฟิศเป็นเรื่อง 'ล้าหลัง'

20 พ.ค. 2557
14 ตุลาคม 2556

ในยุคดิจิตัลแบบนี้ แนวคิดเรื่องการนั่งทำงานที่ออฟฟิศ อาจกลายเป็นแนวคิดที่ล้าหลังไปเสียแล้ว เมื่อเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมา ทำให้เราเชื่อมโยงกับคนทั้งโลกได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การทำงานที่ออฟฟิศอาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ช่วงนี้ เราจะไปดูกันว่า นอกจากเรื่องเทคโนโลยีแล้ว มีเหตุผลอะไรอีกบ้าง ที่จะทำให้การทำงานที่ออฟฟิศเป็นเรื่องที่ล้าสมัย

แน่นอนว่า มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในออฟฟิศ จนบางคนป่วยเป็นโรคออฟฟิศ ซินโดรมแบบไม่รู้ตัว แต่ในยุคที่อะไรก็กลายเป็นดิจิตอลแบบนี้ หลายคนได้ออกมาวิจารณ์ว่า แนวความคิดเรื่องการทำงานในอออฟฟิศ ช่างเป็นแนวคิดที่ล้าหลังและน่าขันเป็นอย่างยิ่ง เพราะการที่เรามีเทคโนโลยี ที่ช่วยให้การสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันหมดในยุคนี้ อาจช่วยให้เราไม่ต้องมาทำงานที่ออฟฟิศอีกต่อไป และนี่คือ 5 เหตุผลที่จะอธิบายว่า ทำไมการทำงานออฟฟิศจึงจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าหลังในไม่ช้า

ข้อที่ 1 เรามีอุปกรณ์อันแสนฉลาด ที่จะช่วยให้การทำงานเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยศูนย์วิจัยอีริคสันคาดการณ์ว่า ในปี 2563 จะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กว่า 50,000 ล้านเครื่อง ที่จะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งอุปกรณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ต แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงแก็ดเจ็ตใหม่ๆของกูเกิล กลาส และรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติอีกด้วย ดังนั้น ด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ทำให้พนักงานออฟฟิศทั้งหลาย ไม่ต้องเปลืองแรงเดินทางมาทำงานอีกต่อไป หลายคนอาจทำงานจากที่บ้าน หรือจากสถานที่อื่นๆแค่มีเพียงไวไฟเท่านั้น คุณก็สามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้แล้ว ซึ่งข้อดีของการทำงานในลักษณะนี้ นอกจากจะประหยัดเวลาแล้ว พนักงานทั้งหลายยังไม่ต้องอยู่ในกฎระเบียบอันเคร่งครัด ที่อาจจะจำกัดอิสรภาพและไอเดียใหม่ๆในการทำงาน อีกทั้งยังไม่ต้องแต่งตัวให้ดูเรียบร้อย เพื่อเอาใจใครอีกด้วย

แล้วสำหรับออฟฟิศที่ต้องการแรงงานคนจริงๆเพราะงานดังกล่าวไม่สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้ ก็จะไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ใช่หรือไม่ คำตอบของคำถามนี้ มีอยู่ใน

เหตุผลข้อที่ 2 ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ปัจจุบันนี้ ธุรกิจส่วนใหญ่ ต้องการตัดลดจำนวนพนักงานลง จึงหันไปว่าจ้างพนักงานจากข้างนอก หรือ outsource มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่กำลังไปได้ดีอย่าง TaskRabbit ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับการเปิดประมูลหาผู้ที่สนใจทำงาน โดยผู้ว่าจ้างสามารถมาโพสต์ลักษณะงานที่พวกเขาต้องการหาคนทำ พร้อมกับวงเงินว่าจ้าง ซึ่งหลังจากนั้น ผู้ที่เป็นสมาชิกของ TaskRabbit ก็จะเข้ามาประมูลงานที่พวกเขาคิดว่าทำได้ ซึ่งใครที่ประมูลในราคาที่ผู้ว่าจ้างพึงพอใจและมีคุณสมบัติที่ตรงกับที่ผู้ว่าจ้างต้องการ ก็จะได้ทำงานนั้นๆ โดยมีรายงานว่า สมาชิกของ TaskRabbit ส่วนใหญ่ ทำรายได้ต่อเดือนมากถึง 5,000 ดอลลาร์หรือราว 156,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ในอนาคต จะมีคนหันมาเปิดกิจการในลักษณะนี้มากขึ้น

เหตุผลข้อที่ 3 คือสไกป์ และระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อื่นๆ ที่จะช่วยให้การประชุมสื่อสารกับคนทั้งโลกสะดวกรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหารที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อไปเข้าร่วมการประชุมอยู่บ่อยครั้ง แต่หากว่าแต่ละบริษัทหันมาใช้สไกป์กันให้มากขึ้น ก็จะช่วยประหยัดเวลาเดินทางอย่างมหาศาล โดยปัจจุบันนี้ มีรายงานว่า มีผู้ใช้งานสไกป์มากถึง 2,000 ล้านนาทีใน 1 วัน ซึ่งเวลาดังกล่าว มากพอที่จะเดินทางจากโลกไปยังดวงจันทร์ได้มากถึง 225,000 รอบ และเดินทางไปยังดาวอังคารได้มากถึง 5,400 ครั้งเลยทีเดียว

เหตุผลข้อที่ 4 ช่วงเวลาในการทำงาน และช่วงเวลาในการพักผ่อน จะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้น พวกเจ้านายทั้งหลาย ที่กลัวว่า ลูกน้องจะอู้งานเมื่ออยู่กับบ้านนั้น แทบจะไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เพราะตราบใดที่มีอีเมล พนักงานคนนั้นๆก็ต้องติดอยู่กับการทำงาน ไม่ว่าเขาจะใช้เวลาทำอะไรอยู่ก็ตาม โดยปัจจุบันนี้ พนักงานส่วนใหญ่จะเร่งทำงานให้เสร็จเมื่ออยู่ที่ออฟฟิศ แต่เมื่อกลับบ้านก็อดไม่ได้ที่จะต้องทำงานต่อผ่านทางอีเมลหรือวิธีอื่นๆอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ต่างอะไร หากว่าเขาจะอยู่ที่บ้านและเคลียร์งานทั้งหมด

เหตุผลข้อสุดท้าย ก็คือ การเติบโตของเมกะซิตี หรือมหานครในศตวรรษที่ 21 ที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมหานครเหล่านี้ ต่างก็ต้องการโปรโมทเรื่อง "Smart City" ที่จะเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ในขณะเดียวกัน เมืองกำลังพัฒนาทั้งหลายก็ต้องเร่งมือ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น พนักงานทั้งหลาย ต้องปรับตัว และเปลี่ยนตัวเองให้เป็น "Smart Worker" ให้ได้ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
Read more ...

16 สิ่งที่ควรทำก่อนเลิกงานทุกๆ วัน

20 พ.ค. 2557
12 มีนาคม 2557

ใน 2-3 ชั่วโมงสุดท้ายของการทำงานในแต่ละวัน ควรเตรียมความพร้อมสำหรับวันทำงานในวันรุ่งขึ้นให้พร้อม ซึ่งมีทั้งหมด 16 วิธีง่าย ๆ มาแนะนำว่าควรจะทำอะไรก่อนเลิกงาน

ประเมินตัวเอง
เขียนลงในกระดาษแล้วประเมินดูตัวเองว่าสิ่งต่างๆ ที่เขียนลงไปเหล่านั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หากไม่จำเป็นก็ควรจะคัดออกและเรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เพื่อลดปัญหากับการทำงานตามมาทีหลัง การวางแผนและการประเมินตัวเองก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จในอนาคต

ทบทวนตารางการทำงานล่วงหน้า
เช็คให้ดีว่าวันรุ่งขึ้นมีนัดหมาย การประชุมอะไรไว้รึเปล่า เพื่อเป็นการเตือนความจำล่วงหน้าและยังช่วยลดความเสี่ยงจากการผิดพลาดต่าง ๆ ได้

พูดคุยกับหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน
ก่อนเลิกงาน หาเวลาสัก 5-10 นาทีคุยกับหัวหน้างานของเรา อัพเดทโปรเจ็กต์หรือความคืบหน้าของงานที่กำลังทำอยู่ หรือพูดคุย สอบถามเพื่อนร่วมงานของเราด้วยเช่นเดียวกัน หากมีการสื่อสารอยู่เสมอจะช่วยให้งานเสร็จได้ตามเวลา

ปัด กวาด เช็ด ถู
ให้เวลาอย่างน้อย 15 นาที ในแต่ละวันก่อนกลับบ้าน ทั้งทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย และเช็คอีเมลของเราให้หมดว่ามีงานอะไรที่ตกค้างรึเปล่า หรืองานที่จะต้องทำในวันถัด ๆ ไป

เคลียร์งานให้เสร็จ
ในช่วงเวลาก่อนเลิกงานเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะหากมีงานค้างเยอะเช้าวันใหม่ก็จะกลายเป็นวันที่วุ่นวายสำหรับคุณ ถ้าหากคุณมีการวางแผนงานมาเป็นอย่างดีแล้ว จะช่วยให้การทำงานแต่ละวันนั้นงานไม่เยอะทับถมจนเกินไป

เอาใจใส่
อย่าเพิ่งกลับบ้านถ้าหากว่ายังไม่ได้ตอบอีเมล เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งมารยาทที่คนทำงานพึงกระทำ ไม่ใช่พอถึงเวลาเลิกงานแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านเลยทันที แต่ควรเอาใจใส่กับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ รวมทั้งหัวหน้างานอีกด้วยเพื่อเปลี่ยนให้บรรยากาศออฟฟิศเป็นเหมือนครอบครัว ๆ หนึ่ง

ทำสิ่งใหม่ ๆ
การบริหารเวลาการทำงานดี ก็จะช่วยให้คุณเริ่มงานใหม่ในตอนเช้าได้อย่างสดใส พอทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดีคุณก็สามารถสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ มาได้ ดังนั้นการวางแผนทำงานหรือโปรเจ็กต์ใหม่จะช่วยให้คุณสามารถก้าวหน้าทางอาชีพ และพัฒนาทักษะการทำงานได้อีกด้วย

มองย้อนดูในแต่ละวัน
สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักลืมที่จะทำ หรือละเลย เพราะหากว่าไม่ได้กลับมาคิดทบทวนในสิ่งที่ทำลงไป อาจจะทำให้คุณกลับมาพลาดซ้ำที่จุดเดิมอีกก็เป็นได้ หรืออาจทำงานซ้ำ ทำให้เสียเวลามากกว่าเดิม

เขียนความสำเร็จ
เขียนอย่างน้อย 3 สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน เพื่อเพิ่มกำลังใจในการทำงาน ไม่ใช่เพียงแค่คิดอยู่ในหัว แต่ให้เขียนลงบนกระดาษแล้ววัน ๆ หนึ่งกับการทำงานจะเป็นวันที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับคุณ

การบอกลา
ในชีวิตการทำงานสามารถสร้างให้เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันได้แล้วการทำงานของคุณก็ช่วยให้มีความสุขมากขึ้น และการบอกลาเพื่อนร่วมงานก่อนกลับก็เป็นอีกกิจวัตรนึงที่คุณควรกระทำ เพราะจะช่วยให้เชื่อมความสนิทสนมกันมากขึ้น รวมทั้งการทักทายในตอนเช้าด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่าเพื่อนร่วมงานของเรานั้นจะต้องทำงานด้วยกันไปตลอด ดังนั้นการเชื่อมสัมพันธ์ให้สนิทกันมากขึ้นจึงเป็นเรื่องจำเป็น

การเรียงลำดับความสำคัญของการใช้อีเมลและการใช้โทรศัพท์ที่ผิด
ถึงแม้คุณจะเตรียมตัวมาทำงานเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากเรียงลำดับความสำคัญที่ผิดพลาด การทำงานในวันรุ่งขึ้นของคุณก็อาจจะยุ่งเหยิงในที่สุด ดังนั้นควรวางแผนให้ดีเพราะว่าบางครั้งอีเมลอาจจะถูกมากใกล้กับเวลาเลิกงาน หรือเลิกงานไปแล้ว ควรเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังโดยพิจารณาในแต่ละอีเมลว่างานไหนที่สำคัญกว่าและจำเป็นจะต้องส่งก่อนก็ควรจัดมาเป็นลำดับแรก ๆ ที่ควรตอบอีเมลกลับ แต่ถ้าหากว่าจะต้องใช้เวลาในการทำโปรเจ็กต์ตัวนี้นานหน่อย คุณอาจจะส่งตอบกลับไปวันเวลาจะทำเสร็จที่กำหนดให้ชัดเจน

กลับบ้านด้วยทัศนคติที่ดี
เขียนหรือจดบันทึกในแง่ดี ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงาน เพื่อนร่วมงานแล้วส่งให้เพื่อนร่วมงานของคุณ เพียง 2-3 ประโยคก็สามารถช่วยให้เพื่อนร่วมงานของคุณมีความสุขได้ และจะทำให้บรรยากาศการทำงานดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย

การตัดขาด
ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดโทรศัพท์มือถือ แต่อย่างให้ปิดระบบเตือนของอีเมลเข้ามา จะได้ไม่รบกวนเพื่อนร่วมงาน หาเวลาว่างติดต่อกลับสำหรับบางสายหรืออีเมลที่ยังไม่ได้ตอบกลับ หมายถึงธุระส่วนตัวที่ไม่ได้เกี่ยวกับงาน ซึ่งไม่จำเป็นถึงขนาดจะต้องตัดขาดทั้งหมดเพียงแบ่งเวลาให้ดี โดยเฉพาะเวลาทำงานก็ควรจะโฟกัสกับการทำงานให้เต็มที่

มีการวางแผนที่รอบคอบ
ความเครียดจากการวางแผนที่ไม่รอบคอบ หรือมีเวลาที่จำกัดมาก เวลาที่อยู่ในออฟฟิศอาจจะต้องลงมือทำงานซะมากกว่าคิดงาน ดังนั้นการคิดงานหรือวางแผนงานจึงไม่ได้ถูกจำกัดแค่ที่ออฟฟิศเท่านั้น แต่คือทุก ๆ ที่ที่เราสามารถคิดงาน วางแผนงานได้ เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้ไม่มากก็น้อย เปลี่ยนบรรยากาศการวางแผนงานบ้าง เผื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ หรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ

ปล่อยความเครียดไว้ที่ประตู
เมื่อคุณเดินออกจากประตู (ออฟฟิศ) ให้ทิ้งความเครียดไว้ข้างหลัง ให้ความเครียดมันจบลงแค่วันนั้น ๆ อย่าเก็บความเครียดมาใช้ในวันถัดไป สิ่งที่รอคุณอยู่ที่บ้านคือครอบครัว ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาความเครียดไปฝากครอบครัว แค่ให้มอบคความสุขและความรักมาแทนที่

กลับบ้าน
ขั้นตอนสุดท้ายคือ เก็บของ ปิดไฟ กลับบ้าน !! ไม่จำเป็นจะต้องกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย อย่ากลายเป็นคนที่บ้างาน เอาแต่ทำงานจนลืมแบ่งเวลาให้ส่วนอื่นๆ การเป็นคนทำงานหนักนั้นดี แต่ถ้าหากทำงานหนักทุกเรื่องกับเรื่องที่ไม่จำเป็นอาจจะทำให้คุณต้องเหนื่อยเปล่า ดังนั้นควรกลับด้วยรอยยิ้มและความสุข พร้อมที่จะเริ่มงานวันใหม่อย่างสดใส

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://th.jobsdb.com
Read more ...

Tom Plate วิเคราะห์การเมืองไทย: สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

18 พ.ค. 2557
โดยข่าวสด เมื่อ 18 พ.ค.2557

Tom Plate คอลัมนิสต์และนักข่าว ผู้เชี่ยวชาญด้านอาเซียนและแปซิฟิคศึกษาจากมหาวิทยาลัย Loyola Marymount, เจ้าของหนังสือชุด Giants of Asia ซึ่งเป็นซีรี่ยส์บทสัมภาษณ์ของผู้นำคนสำคัญในประเทศต่างๆ เช่น ลีกวนยู มหาเธ โมฮัมหมัด, บันคีมูน และทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนคอลัมน์วิเคราะห์การเมืองไทย ในชื่อว่า “It’s a Thai thing: ditching the new for the old” ลงในเว็ปไซต์ The Japan Times โดยให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยตอนนี้นั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง

(บทแปล)

นิสัยปกติของคนไทย: ชอบเอาของเก่ามาแทนของใหม่

ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ยูเครน ไครเมีย หรือในซีเรียที่รุนแรงอย่างมาก ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ไหนที่น่าเศร้าเท่าที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่ในขณะนี้เลย เพราะว่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้นั้นมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย ไม่ควรเลย

มีผู้คนจำนวนมากมายที่ต้องอยู่ภายใต้เงาการปกครองของรัฐบาลที่ตนเองไม่ชอบ และก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ตนเองไม่ได้เลือก และถึงขั้นรังเกียจเหยียดหยามเลยด้วยซ้ำ แต่ในโลกนี้(หรืออาจจะในโลกหน้าด้วย) น้อยคนนักที่จะได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการทุกอย่างในทางการเมือง

ทว่าในประเทศไทย กลุ่มคนบางกลุ่ม จำนวนหนึ่งเลยทีเดียว ที่ต้องการทุกๆอย่าง และเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ พวกเขาก็พร้อมที่จะปฎิเสธทุกอย่างๆที่ทุกๆคนเรียกร้อง

และมันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมากต่อประชาชนในประเทศไทยที่ได้ทำการโหวตให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯคนที่ 28 ของไทยจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2011 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย) และต้องพบว่าเธอ ซึ่งเป็นผู้เป็นสตรีที่แสนดีและทำงานหนักต้องถูกขับออกจากตำแหน่ง

เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะว่ามีกลุ่มจำนวนเล็กๆจำนวนหนึ่งไม่ชอบการเมืองแบบคนส่วนใหญ่น่ะสิ

สิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดคือเรื่องการเลือกสุภาพสตรีคนนี้มาเป็นดั่งกระสอบทรายให้กับชนชั้นนำกรุงเทพฯ เห็นได้จากการกระทำที่หลายคนเรียกว่า “การรัฐประหารโดยศาล” เนื่องด้วยว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะเอาชนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการเลือกตั้งได้แบบตัวต่อตัว

เหล่าชนชั้นนำได้รวมตัวเข้าพวกกันโดยใช้ชื่อว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” (ประกอบไปด้วยเหล่าชนชั้นนำที่เป็นปฎิปักษ์ต่อรัฐบาลทั้งหลาย) ตัดสินให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเกือบทั้งหมดต้องพ้นจากตำแหน่งไป

ด้วยคำวินิจฉัยที่ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายอย่างกระทันหันโดยรัฐบาลนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำต้องส่งผลให้รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง เป็นสไตล์การให้เหตุผลของศาลจากโรงเรียนกฎหมายแห่งความเพ้อฝัน

คำวินิจฉัยนี้เป็นการสร้างแบบแผนที่ผิดมหันต์ และเลวร้ายที่สุดมันจะเป็นการปูทางไปสู่สงครามกลางเมือง เหมือนดังที่นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ ได้กล่าวไว้ว่า ระบบยุติธรรมนั้นได้ทำการสั่นคลอนพลังทางการเมือง เพื่อที่จะทำลายพรรคการเมืองต่างๆที่เป็นพรรคพวกของทักษิณ

“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้นได้ทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขาเอง” บัณฑิตกล่าว “ถ้าหากกฎหมายไม่สามารถสร้างบรรทัดฐานความเท่าเทียมในการบังคับใช้กับทุกคนได้ ความรุนแรงในอนาคตนั้นก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลย”

ภายในลึกๆ ของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แน่นอนว่าเกิดจากความเกลียดชังในตัวพี่ชายของเธอ ทักษิน ก็ถูกขับออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่จากการรัฐประหารโดยศาลในปี 2006 แต่จากรัฐประหารโดยทหารกลุ่มหนึ่ง

ความเกลียดชังที่มีต่อทักษิณนั้นมีมากมายมหาศาล ถึงแม้ว่าเขาจะลี้ภัยไปแล้ว ดูเหมือนไฟแห่งความเกลียดชังก็จะไม่มีวันลดลง ซึ่งมันไร้เหตุผลมากๆ

ความเกลียดชังในลักษณะนี้ที่ใกล้เคียงที่สุดที่พอจะนึกได้ก็คงจะเป็นความเกลียดชังของพวกอเมริกันฝ่ายซ้ายที่มีต่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่ตอนนี้ประวัติศาสตร์ดูเหมือนว่าจะให้เกียรติเขามากขึ้นแล้ว (จากความคิดของเขาในการพูดคุยกับจีน, ขยายนโยบายภายใน ฯลฯ)

ย้อนกลับมาดูเรื่องที่คล้ายคลึงกัน ทักษิณ ดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงปี 2001-2006 ทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูอย่างมาก รัฐบาลของเขานั้นได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง เขาได้ออกนโยบายมากมายด้านสุขภาพและการกระจายรายได้ เขาได้ให้ความหวังแก่ประชาชนภายนอกกรุงเทพให้มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก

อย่างไรก็ดี เขาก็ถูกขับไล่ ด้วยข้อหา “คอร์รัปชั่น” อย่างกับว่าเขาเป็นนักการเมืองคนแรกของประเทศไทยที่(ถูกกล่าวหา) ว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวในขณะที่ดำรงตำแหน่ง อย่างไรอย่างนั้นแหละ

กลุ่มคนที่ต่อต้านทักษิณจึงจำต้องเพ่งเล็งไปที่น้องสาวของเขา ยิ่งลักษณ์ สุภาพสตรีที่ทรงเสน่ห์และขยันทำงาน คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญของไทยที่ขับเธอให้พ้นออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นการกระทำที่ตื้นเขินมาก เพราะมันจะนำพาประเทศที่กำลังเริ่มไปได้สวย ให้ดิ่งลงเหว

ข้าพเจ้ารู้สึกมากกว่าเศร้า ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยหลายคนคงคิดว่าข้าพเจ้ามีอคติ จากผลงานของข้าพเจ้าในหนังสือ “จับเข่าคุย ทักษิณ ชินวัตร” ที่ออกมาในปี 2011 หนังสือเล่มนี้พยายามถ่ายทอดคำบอกเล่าของอดีตนายกรัฐมนตรีในด้านของเขาอย่างมากที่สุดจากปากของเขาเอง

ในปี 2010 ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาสัปดาห์ครึ่งกับเขาในดูไบ ในขณะที่เขาลี้ภัย พูดอย่างสัตย์จริงก็คือว่าข้าพเจ้าพบว่าเขานั้นเป็นคนที่น่าคบหา ฉลาด และมีความรักชาติไทย ข้าพเจ้าคิดว่าเขาทำเพื่อประโยชน์ตนเองหรือไม่? ข้าพเจ้าขอถามหน่อย: คุณเคยเห็นนักการเมืองคนไหนที่ไม่ทำอย่างนั้นหรือ?

ในความเป็นจริงแล้ว ศัตรูของทักษิณเองก็ชื่นชมหนังสือเล่มนี้ว่ามันได้ฉายภาพมุมมองของทักษิณอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับฝ่ายสนับสนุนเขาก็ยกย่องมันเช่นเดียวกันเพราะมันได้เปิดโอกาสให้บุคคลผู้อื้อฉาวท่านนี้ได้พูดเองบ้าง และนั่นคือสิ่งที่นักข่าวตัวจริงต้องทำ นั่นคือการเชิดชูความเป็นจริงที่ไร้อคติ

ข้าพเจ้าเชื่อว่าประเทศไทยควรจะเป็นอย่างนั้น ทว่าในขณะนี้มันกับกลายเป็นว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การทำลายตัวเอง

ปัญหาการเมืองใดๆในโลกทุกวันนี้ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเวทนาได้เท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนฝันร้ายกับประเทศไทยเลย นี่เป็นโศกนาฎกรรมที่ต้องจดจำ มันคือการทำลายตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง

ได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคนหรืออะไรสักอย่างในประเทศไทยที่จะสามารถนำพาประเทศให้พ้นวิกฤตครั้งนี้ได้

ที่มา http://www.ispacethailand.com/
Read more ...

อยากรู้ไหมครับว่า ทำธุรกิจอะไรกำไรได้ถึง 130 เท่า ??

18 พ.ค. 2557
เมื่อ 27 พ.ย.2556

มีหลายท่าน คงอยากจะทราบว่า  มีธุรกิจอะไรบ้างไหมที่สามารถทำกำไรได้มาก  ยิ่งทำกำไรได้หลายเท่าตัวก็ยิ่งดีมากๆ   เป็นที่ปรารถนากันทั้งนั้น  สำหรับผู้ประสงค์จะลงทุนน้อยๆ แต่ให้รวยไวๆ

สมมติว่า  วันนี้เรามีเงินเริ่มทำธุรกิจเพียงแค่ 150 บาท หรือประมาณ 5 เหรียญสหรัฐ  เราจะทำอย่างไร  จึงจะให้เกิดกำไรสูงๆ  เท่าที่จะทำได้

ศาสตราจารย์ Tina Seelig  อาจารย์สอนวิชานวัตกรรมสร้างสรรค์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย  ได้ให้โจทย์ทางธุรกิจกับนักศึกษาว่า

สมมติคุณมีเงินเริ่มธุรกิจได้แค่ 5 เหรียญ  คุณจะทำยังไงให้ได้กำไรกลับมาสูงสุด ให้โจทย์นี้กับนักศึกษาที่ถูกแบ่งเป็น 4 ทีม และให้เวลาเพียงแค่1 สัปดาห์ ไปคิดหาวิธีมา และให้เวลา 2 ชั่วโมงสำหรับภาคปฏิบัติในการทำเงินให้ได้กำไรกลับมาสูงสุด แล้วให้มารายงานหน้าชั้นเรียนเป็นเวลา 3 นาที

ถ้าเป็นคุณผู้อ่านเจอโจทย์แบบนี้  จะคิดหาไอเดียอย่างไรดี

เราลองมาดูไอเดียที่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแต่ละทีมได้เลือกทำกันจากเงิน 5 เหรียญนี้

 กลุ่มที่หนึ่ง เอาเงินไปซื้อมะนาว น้ำตาล และมาทำน้ำมะนาวขายหน้ามหาวิทยาลัย     อืม…ก็เข้าท่า

กลุ่มที่สอง ไปรับจ้างเติมลมยางรถจักรยานหน้ามหาวิทยาลัยคิดเงินคันละ 1 เหรียญ  จนกระทั่งพวกเขาค้นพบว่า ถ้าขอเป็นเงินบริจาคจะได้เยอะกว่า เลยเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคแทน อันนี้ออกแนวการกุศล

กลุ่มที่สาม ได้เงินมากกว่าทั้งสองกลุ่ม และมีคิดสร้างสรรค์ได้ ค่อนข้างดี คือ พวกเขาตัดสินใจเลือกทำงานในคืนวันศุกร์ และให้เพื่อนผู้ชายขับรถพาสาว ๆ ไปทิ้งไว้หน้าร้านอาหารที่คนแน่น แล้วให้ไปจองคิวตามร้านอร่อยที่ลูกค้าต้องยืนรอกันเกือบชั่วโมง พอได้คิวแล้วก็เอาคิวไปขายให้ลูกค้าคนอื่นที่เพิ่งมา คิดเงินคิวละ 20 เหรียญ ได้ลัดคิวกันไปเลยไม่ต้องยืนรอ กลุ่มนี้หาเงินได้หลายร้อยเหรียญในเวลา 2 ชั่วโมง เพราะใคร ๆ ก็อยากมาแล้วได้ทานอาหารเลย

กลุ่มที่สี่ กลุ่มที่ชนะเลิศในครั้งนี้ สามารถหาเงินได้ถึง  650เหรียญ เป็นกำไรถึง 130 เท่าตัว และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่ได้ใช้เงิน 5 เหรียญนั้นเลย เขาทำได้อย่างไรกัน

หลังจากที่พวกเขาประชุมกันนาน ทุกคนในกลุ่มโหวตว่า พวกเขาจะขายเวลา นักศึกษากลุ่มนี้เฉลยว่า บางคนบอกไปซื้อล็อตเตอรี่ดีกว่า ไปลาสเวกัส และอื่น ๆ

แต่ในที่สุดทุกคนสรุปว่า ต้นทุนที่ดีที่สุดที่พวกเขามีไม่ใช่เงิน 5 เหรียญ แต่เป็นเวลา 3 นาทีต่างหาก สำหรับการนำเสนอแผนธุรกิจหน้าห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จำนวนเป็นร้อย ๆ คน ที่ต้องการนั่งฟังรายงานโดยไม่ลุกไปไหน

นักศึกษากลุ่มนี้จึงหาบริษัทที่ต้องการขายสินค้า แล้วก็ได้ขายเวลา 3 นาทีที่ตัวเองต้องพรีเซ็นต์ ให้กับบริษัทที่ต้องการเวลา3 นาที โฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองแทน (ไม่ต้องเหนื่อนกันเลยทีเดียว)

พอถึงวันที่ต้องรายงาน นักศึกษากลุ่มนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร นอกจากฟังเพื่อนพรีเซ็นต์และพอถึงเวลาของตัวเอง ก็ให้บริษัทที่ตกลงกันไว้มาพรีเซ็นต์สินค้า เสร็จแล้วทางบริษัทได้จ่ายเงิน 650 เหรียญสำหรับเวลา 3 นาทีที่มีค่าให้กับทีมนักศึกษาที่ขายเวลาให้ เรียกได้ว่าไอเดียดีจริง ๆ ครับ

อาจารย์ปลื้มใจที่ลูกศิษย์คิดได้นอกกรอบอย่างเหลือเชื่อ !!

เห็นไหมครับว่า  ไอเดียดีๆ  สามารถทำเงินให้ได้มากมายโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเลย  ก็เป็นไปได้ อย่างไม่น่าเชื่อ

คุณล่ะ !!  ลองคิดไอเดียดีๆ  แบบนี้  ดูบ้าง   อาจทำเงินให้คุณได้มากมายก็เป็นได้  โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเลย หรือใช้เงินลงทุนน้อยมาก
Read more ...

"เสี่ยบุรีรัมย์" นำเงิน 50 บาทเดินแลก 40 บาททั่วเมือง

18 พ.ค. 2557
โดยสำนักข่าวไทย เมื่อ 18 พ.ค.2557

 กลายเป็นกระแสฮือฮาอีกครั้ง หลังจาก

นายเสริมเกียรติ กัลป์เจริญศรี อายุ 64 ปี เศรษฐีเจ้าของธุรกิจหอพักและสินเชื่อที่ จ.บุรีรัมย์ 

ที่เคยติดประกาศรับสมัครลูกเขยจนเป็นข่าวดัง คราวนี้นำธนบัตรฉบับละ 50 บาทที่เย็บติดกับถุงพลาสติกที่มีรูปถ่ายของตัวเอง พร้อมข้อความว่า “เบอร์ 4 ขอทดแทนบุญคุณ ขอเป็นฝ่ายค้าน” และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ เดินแลกกับเงิน 40 บาท สถานที่ต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จนสร้างประหลาดใจให้กับประชาชน และผู้ที่พบเห็น เพราะไม่เคยพบเจอใครที่จะนำเงินจำนวนมากกว่ามาแลกกับเงินที่น้อยกว่า

อีกทั้งบางคนไม่แน่ใจว่าเป็นธนบัตรจริงหรือไม่ แต่เมื่อทราบว่าเป็นธนบัตรจริง ต่างพากันนำเงินมาแลกกันอย่างคึกคัก

นายเสริมเกียรติ กล่าวถึงสาเหตุที่นำเงิน 50 บาทมาเดินแลกกับเงิน 40 บาท เพราะมีเงินเพียงพอแล้ว จึงอยากจะแบ่งปันให้กับคนยากจน หรือผู้ที่มีรายได้น้อยกว่าบ้าง เพราะเคยผ่านความยากลำบากมาก่อน ทั้งต้องการให้คนได้เห็นคุณค่าของการใช้จ่ายเงินด้วย

นายเสริมเกียรติ กล่าวเปรียบเทียบว่า หากมีเงิน 200,000 บาท ไปเที่ยวต่างประเทศได้แค่ 2 คน  แต่หากนำมาให้คนยากจนคนละ 10 บาท จะได้มากถึง 20,000 คน และยังเปรียบเทียบถึงการซื้อสิ่งของว่าหากเลือกซื้อราคาแพงก็จะได้เพียงไม่กี่ชิ้น แต่หากซื้อราคาถูกก็จะได้เป็นจำนวนมาก และยังนำมาแบ่งปันให้คนอื่นได้อีก พร้อมกล่าวอีกว่าคนเราแม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมายขนาดไหน แต่ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ แต่สำหรับตนเองแล้วคือการแบ่งปัน และก็จะเดินแลกไปเรื่อยๆ เพราะถือเป็นการเดินออกกำลังกายต่ออายุไปในตัวด้วย
Read more ...

อัจฉริยะวัย 16 ปี Jack Andraka สร้างความฮือฮาในวงการวิทยาศาสตร์โลกจากการคิดค้นวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มต้น

13 พ.ค. 2557
โดยวอยซ์ออฟอเมริกา เมื่อ 18 มี.ค.2556

เเจ็ค แอนเดรก้า เด็กนักเรียนชายอเมริกันวัยสิบหกปีจากรัฐแมรี่เเลนด์ได้พัฒนาวิธีการง่ายๆในการตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มต้น เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่ช่วยให้การวินิจฉัยโรคและการบำบัดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

มะเร็งตับอ่อนเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงชนิดหนึ่ง เมื่อปีที่แล้วมีคนเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับอ่อนมากกว่าสองแสนห้าหมื่นรายทั่วโลกและตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เเจ็ค แอนเดรก้า ได้รับรางวัลชนะเลิศในงาน Intel International Science and Engineering Fair ซึ่งเป็นการเเข่งขันความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้วในเมืองพิทสเบริ์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เขาเป็นผู้ชนะเลิศรางวัลนี้ที่อายุน้อยที่สุด คว้าเงินรางวัลเจ็ดหมื่นห้าพันดอลล่าร์สหรัฐหรือราวสองล้านสองแสนห้าหมื่นบาท เอาชนะผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 1,500 คนจากเจ็ดสิบประเทศ

ความสำเร็จของเเจ็คเป็นผลสืบเนื่องจากความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์ของเขามาตั้งแต่เล็กๆ และได้รับการส่งเสริมจากพ่อแม่และได้รับเเรงบันดาลใจจากพี่ชายที่เป็นผู้ชนะรางวัลเดียวกันนี้เมื่อปี ค.ศ 2010 ประกอบกับโรงเรียนส่งเสริมการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วย

เเจ็คชนะเลิสรางวัลนี้เพราะเขาคิดค้นวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มต้นแบบง่ายและไม่แพง เขาเกิดความสนใจเรื่องมะเร็งตับอ่อนหลังจากญาติสนิทคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยมะเร็งชนิดนี้

เเจ็คกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าเขาเสาะหาข้อมูลเรื่องนี้ทางอินเตอร์เน็ทและพบว่า 80% ของผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดนี้เมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลามเเล้วและมีโอกาสรอดเพียง 2% เท่านั้น และพบว่าผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนจะมีระดับโปรตีนที่เรียกว่า เมโซธีลิน (mesothelin) ในกระเเสเลือดในปริมาณสูงกว่าปกติ และการตรวจพบโรคแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดเเก่ผู้ป่วย

เเจ็คทำการพัฒนาเซ็นเซ่อร์กระดาษแบบง่ายที่สามารถตรวจหาโปรตีนเมโซธีลินด้วยการหยดเลือดหรือปัสสาวะเพียงหยดเดียวลงไปบนตัวเซ็นเซ่อร์กระดาษ การตรวจด้วยวิธีที่เเจ็คคิดค้นขึ้นนี้ได้ผลแม่นยำถึง 90% การตรวจเเบนี้เสียค่าใช้จ่ายแค่สามเซ็นต์ต่อครั้งและใช้เวลาทั้งหมดแค่ห้านาที

ด็อกเตอร์อันเนียบัน เมทตรา อาจารย์ที่ปรึกษาของเเจ็คที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins เป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพียงผู้เดียวที่แสดงความสนใจในโครงการพัฒนาวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนของแจ็ค จากบรรดานักวิจัยถึง 200 คนที่เเจ็คเขียนอีเมลล์ถึง

ด็อกเตอร์เมทตรากล่าวว่าเมื่อได้รับอีเมลล์จากเเจ็ค ตนเองต้องยอมรับว่าทึ่งมากเมื่อรู้ว่าผู้เขียนโครงการนี้อายุแค่ 15 ปี จึงต้องการพบกับนักวิทยาศาสตร์เยาว์วัยที่มีพรสวรรค์ผู้นี้ เพื่อให้เเจ็คอธิบายโครงการที่เขาต้องการทำ จึงได้โทรศัพท์ติดต่อกับเเจ็คเพื่อขอสัมภาษณ์ ด็อกเตอร์เมทตรากล่าวว่าประทับใจในตัวเเจ็คมาก

ด็อกเตอร์เมทตราอนุญาติให้เเจ็คใช้มุมหนึ่งในห้องแล็ปของเขาที่มหาวิทยาลัย เเจ็คใช้เวลาทำงานในห้องแล็ปนาน 7 เดือนเพื่อพัฒนาชิ้นงานยอดเยี่ยมของเขา

หลังจากได้รับรางวัล เเจ็คได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของตัวเซ็นเซ่อร์ตรวจมะเร็งตับอ่อนและกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาตัวเซ็นเซ่อร์ให้เป็นวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนอย่างง่ายที่หาซื้อไปได้ตามร้านขายยา

แจ็คได้รับเชิญไปร่วมงานสำคัญหลายงาน ด็อกเตอร์เมทตรากล่าวว่าเขาไม่แปลกใจเลยที่เเจ็คโด่งดัง เขาคิดว่าเราจะได้ยินชื่อของเเจ็ค แอนเดรก้าไปอีกนาน สิบหรือยี่สิบปีจากนี้ไป หากเด็กคนนี้สร้างความน่าทึ่งทางวิทยาศาสตร์ได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ใครจะรู้ว่าเเจ็คจะพัฒนาอะไรใหม่ๆออกมาอีกบ้างตอนเขาอายุ 25 ปีหรือ 35 ปี
Read more ...

หนุ่มนักเรียนวัย 15 ปี หาสาเหตุมะเร็งตับอ่อนด้วยวิธีที่ดีกว่า

13 พ.ค. 2557
โดย https://www.facebook.com/whynotsocialenterprise  เมื่อ 7 เม.ย.2557

แจ็คเสียคุณลุงด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน

หมอบอกว่า ถ้าเราตรวจพบได้เร็วกว่านี้เขาคงไม่ตาย

แจ็ควัย 15 ปี เขียนจดหมาย 200 ฉบับหานักวิทยาศาสตร์ ขอยืมห้องแล็ปทดลองหาวิธีตรวจโรคมะเร็งตับอ่อนที่ดีกว่าเดิมหลังเลิกเรียน...ไม่น่าแปลกที่จะมีใครตอบกลับ แต่มี 1 คนตอบกลับมา

วันนี้...ไม่น่าแปลกที่แจ็คจะเป็นตัวเต็งโนเบลสาขาการแพทย์ เพราะวิธีของเขาตรวจพบมะเร็งได้

- เร็วขึ้น 168 เท่า, 
- ละเอียดกว่า 400 เท่า ที่สำคัญ 
- ถูกกว่าวิธีเดิม 26,000 เท่า

เรื่องมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นได้ เพราะเด็กหนึ่งคน ที่เชื่อในการทำงานเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น และผู้ใหญ่ 1 ใน 200 คนนั้น ที่ให้โอกาส

คุณพร้อมจะสร้างเรื่องให้ใครๆ หัวใจพองโตหรือยัง? 
Read more ...

หางานให้คนชรา

13 พ.ค. 2557
โดย https://www.facebook.com/whynotsocialenterprise?fref=ts เมื่อ 12 พ.ค.2557

ที่บราซิล เด็กบางคนอยากฝึกภาษาอังกฤษ
ที่อเมริกา ปู่ย่าตายายในบ้านพักคนชราอยากคุยกับใครซักคน
ไอเดียดีๆ จากโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ใน บราซิล

ดูแล้วอดยิ้มตามไม่ไหว
http://www.youtube.com/watch?v=-S-5EfwpFOk
Read more ...

ศาสตร์แห่งความสำเร็จของ Benjamin Franklin

10 พ.ค. 2557
เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) นับเป็นสุดยอดบุคคลต้นแบบของโลกคนหนึ่งก็ว่าได้ เพราะเค้าเป็นรัฐบุรุษคนสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็น นักประดิษฐ์ นักดนตรี นักเขียน และยังเป็นบุคคลที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์หลายเหตุการณ์

…นอกเหนือจากที่กล่าวมา เบนจามิน แฟรงคลิน ยังเ็ป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าประสบความสำเร็จในชีวิตการ
ทำงานเป็นอย่างมาก เพราะเค้าเป็นคนที่มีการจัดการเวลาของชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากตารางเวลาตามภาพด้านล่าง เราจะเห็นได้ว่า เค้าได้จัดระเบียบการใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อให้แต่ละวันถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า
ศาสตร์แห่งความสำเร็จของ Benjamin Franklin  

บทความนี้สรุปประเด็นจากหนังสือเรื่อง The Autobiography of Benjamin Franklin ซึ่งเมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว และยังได้รับการตีพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงปัจจุบัน เบนจามิน แฟรงคลินเป็นรัฐบุรุษอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นคนอเมริกันที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่ง และเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จคนแรกของอเมริกา หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงประวัติ มุมมอง และแนวทางในการใช้ชีวิตที่นำพาเบนจามิน แฟรงคลินให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้

เบนจามิน แฟรงคลิน เกิดที่เมืองบอสตัน เมื่อปี ค.ศ. 1706 มีพี่น้อง 17 คน ที่บ้านเป็นร้านขายของชำ เขาได้เรียนหนังสือถึงอายุ 10 ขวบเท่านั้น ในช่วงวัยรุ่นเขาได้ทำงานเป็นเด็กฝึกงานในโรงพิมพ์ของพี่ชาย ซึ่งเป็นโรงพิมพ์แห่งแรกในอเมริกา หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองฟิลาเดลเฟียเพื่อตั้งโรงพิมพ์ของตนเอง เขามีผลงานตีพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นคือ Poor Richard's Almanac: The Wit And Wisdom Of Benjamin Franklin ซึ่งเป็นงานเขียนของเขาเอง หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมสุภาษิตคำพังเพยสอนใจให้เราหมั่นทำความดี ซึ่งนับเป็นวรรณกรรมคลาสสิกเป็นที่กล่าวขวัญจวบจนถึงปัจจุบัน เขาเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทางการเมืองอเมริกาในยุคนั้นอย่างมาก เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาต่ออังกฤษ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญของประชาธิปไตยทั่วโลก นอกจากนั้น เขายังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Pennsylvania ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เขายังได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำฝรั่งเศส เขาเกษียณอายุตัวเองเมื่ออายุ 42 ปี เขาเขียนหนังสือต่าง ๆ มากมายและประดิษฐ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือ สายล่อฟ้า เบนจามิน แฟรงคลินได้เสียชีวิตลงในปี 1790
               
มุมมองและแง่คิดของ เบนจามิน แฟรงคลิน

1. บุคคลใดก็ตามที่มีจิตสำนึกในการพัฒนาตนเองและมีความรักที่จะเรียนรู้ เขาเหล่านั้นย่อมประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน

2. ความเก่งฉกาจไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเราจะประสบความสำเร็จ แต่เป้าหมายที่ชัดเจนและการวางแผนที่ดีต่างหากจะช่วยให้เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ฝากไว้แก่มวลมนุษยชาติได้ และคนที่ฉลาดจะใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จเป็นรูปธรรม และจะไม่เลือกทำในสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เราเสียสมาธิ

3. เมื่อตื่นมาตอนเช้าให้ถามตนเองว่า วันนี้เราจะทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว

4. ก่อนนอนทุกคืนให้ถามตนเองว่า วันนี้เราได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวบ้างหรือไม่ อย่างไร

5. หมั่นอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาความรู้และเปิดโลกทัศน์ ประมาณ 12เล่มต่อปี

6. ใช้พลังสมองเพื่อทำสิ่งที่มีค่าและมีประโยชน์เพื่อเป็นมรดกไว้ให้ชนรุ่นหลัง

7.จงมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง โดยการนิ่งเฉยเมื่ออีกฝ่ายพูดผิด ทำพลาด หรือแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากเรา อย่าเหยียดหยาม เย้ยหยัน วิพากษ์วิจารณ์ จับผิด และดูถูกอีกฝ่ายว่าช่างโง่จริง ๆ แต่ให้มองว่า อีกฝ่ายอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างไปจากเราก็ได้ จึงพูดและทำเช่นนี้ออกมา อย่างไรก็ตาม ถ้าอีกฝ่ายเข้าใจผิดจริง ๆ เราก็จะไม่ควรพูดจาเพื่อหักหน้าอีกฝ่าย แต่ให้พูดอธิบายด้วยความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตนและชี้ให้อีกฝ่ายเห็นว่า มันน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้หรือไม่ อย่างไร

8.หลักในการเตือนตนเพื่อความสำเร็จ ความสุข สุขภาพแข็งแรง และร่ำรวยเงินทอง

   1) มีความพอดี ใช้ชีวิตอยู่ในทางสายกลางเช่น กินพอประมาณ ดื่มพอประมาณ เป็นต้น
   2) หัดเงียบเพื่อสร้างความสงบภายในจิตใจ พูดเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น หลีกเลี่ยงการพูดจาไร้สาระ เพ้อเจ้อ และให้ร้ายผู้อื่น
   3) หัดวางของให้เป็นระเบียบเพื่อง่ายต่อการจดจำ จัดวางตารางการทำงานให้เหมาะสมและชัดเจน
   4) มุ่งมั่นตั้งใจทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จโดยไม่ย่อท้อ
   5) รู้จักประหยัดอดออม
   6) มีความมานะบากบั่น เห็นคุณค่าของเวลา และทำในสิงที่สำคัญและควรทำ
   7) มีความจริงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง และพูดตามความรู้สึก
   8) เมื่อเจอประสบการณ์หรือการปฏิบัติที่ไม่ดี จงอย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น
   9) รักษาความสะอาดเรียบร้อยทั้งเสื้อผ้า การแต่งตัว และที่อยู่อาศัย
  10) ฝึกทำความสงบในจิตใจเพื่อเพิ่มพลังภายใน
  11) รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตน
             
Read more ...

12 เรื่องที่เราเรียนรู้จากมหาเศรษฐีพันล้าน Warren Buffet

10 พ.ค. 2557
ที่มา pocketidea.com เมื่อ 13 เม.ย.2557

เรารู้จักชายแก่ หน้าตาใจดี มหาเศรษฐีติดอันดับโลกคนนี้ วอเรน บัฟเฟต์ ในฐานะเจ้าของกิจการ, คนใจบุญ, เศรษฐีพันล้าน และนักลงทุนชั้นเซียน ซึ่งปัจจุบันนี้วอเรน บัฟเฟต์อยู่ในอันดับต้นๆของคนที่รวยที่สุดในโลกซึ่งปีนี้อยู่อันดับ 4 เรามารู้จักผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม และมาเรียนรู้ด้วยกันว่าอะไรทำให้เขาร่ำรวยและมีชีวิตแบบในปัจจุบัน

วอเรน บัฟเฟต์เริ่มต้นการลงทุนตั้งแต่อายุแค่ 11 และเมื่อเขาอายุ 13 เขาเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเอง ซึ่งก็คือการขายเนื้อหาเทคนิคการแข่งม้า ในทุกวันนี้บัฟเฟต์คือประธานและ CEO ของบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งคือบริษัทข้ามชาติที่มีมูลค่าธุรกิจสูงถึง $162 พันล้านเหรียญในปี 2012 แต่สิ่งที่ยิ่งน่ายกย่องในตัวเขานอกจากความร่ำรวยแล้ว คือความดีในตัวเขา เขาเป็นคนที่มีจริยธรรมและมีศีลธรรมสูงสุดคนหนึ่ง เขาชอบทำบุญทำกุศล และด้วยความที่เป็นคนใจบุญอย่างแท้จริง เราปฏิญาณตนว่าจะมอบรายได้ $58.5 พันล้านเหรียญให้แก่การกุศล

ตลอดเวลาทั้งชีวิตของเขา วอเรน บัฟเฟต์ได้แบ่งปันทัศนคติและแรงบันดาลใจมากมายให้แก่ผู้คนทั่วโลก ซึ่งในวันนี้เรามี 12 สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากมหาเศรษฐีอย่างวอเรน บัฟเฟต์มาให้อ่านกัน เผื่อว่าใครกำลังต้องการกำลังใจและแนวคิดที่เพื่อการเงินและความสำเร็จ เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

12 เรื่องที่เราเรียนรู้จากมหาเศรษฐีพันล้าน Warren Buffet

1. ให้คุณค่าชื่อเสียงและเกียรติยศของคุณ

“เราใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศ แต่เราสามารถทำลายมันทั้งหมดได้เพียงแค่ 5 นาที ถ้าคุณระลึกถึงมัน คุณจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”
ถ้าเราคิดดูดีๆ มันก็เป็นเรื่องจริงของสังคมเรา เพราะบัฟเฟต์แนะนำเสมอว่าเราควรสร้างคุณค่าให้แก่ตัวเราเองและบริษัทของเรามากที่สุด และกว่าจะสร้างชื่อเสียงและเกียรติให้แก่สิ่งที่เรามีได้ มันอาศัยเวลาที่ยาวนาน ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไร ควรคิดให้ดีๆก่อน ถ้าเรามีสติ คิดตรึกตรองความจริงในข้อนี้ให้ดีๆ เราจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เราจะไม่ทำสิ่งที่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบแต่สามารถทำลายทุกอย่างที่เรามีได้ในชั่วพริบตา

2. ทำงานเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

“คนบางคนได้นั่งอยู่ใต้ร่มเงาในวันนี้ก็เพราะเคยมีคนปลูกต้นไม้ต้นนี้เมื่อนานมาแล้ว”
ถ้าเราอยากมีอนาคตที่ดี เราจึงควรเริ่มเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่วันนี้ เพราะสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในวันนี้คือผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งก่อน ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี สิ่งที่เราทำในอดีตก็คือผลในปัจจุบัน ดังนั้น ถ้าตอนนี้เรายอมทำอะไรบางอย่างที่อาจจะเหนื่อยสักหน่อยเพื่ออนาคต มันก็คงดีกว่าการที่ไม่ทำอะไรในวันนี้แล้วไปลำบากวันข้างหน้า

3. เพิ่มเติมคุณค่า

“สิ่งที่จ่ายไปคือราคา แต่สิ่งที่ได้มาคือคุณค่าของมัน”
เวลาเราซื้ออะไร มันเพราะเราเล็งเห็นคุณค่าของสิ่งๆนั้นใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือบริการก็ตาม นี่คือแนวคิดที่นำมาปรับใช้กับสินค้าหรือบริการของเราได้เช่นกัน เพราะคนอื่นจะมองเห็นคุณค่าของสินค้าและบริการของเรามากแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับว่าเราให้คุณค่าสินค้าและบริการของเราเพียงพอหรือยัง

4. เลือกคบเพื่อนให้ดี

“มันดีกว่าที่เราจะคลุกคลีกับคนที่ดีกว่าเรา เลือกคบกลุ่มเพื่อนที่นิสัยที่ดีกว่าเรา และเราจะถูกนำพาไปในทางเดียวกัน”

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราควรคบหาสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะมีลักษณะนิสัยเหมือนคนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด มีคนกล่าวว่า “เรามักจะมีค่าเฉลี่ยเท่ากับคนที่เราสนิทด้วยที่สุด 5 คน” ถ้าลองพิจารณาดีๆ นี่คือความจริงของมนุษย์เรา ดังนั้น บัฟเฟต์จึงแนะนำให้เราเลือกคบคนที่เราอยากเป็น คนที่ประสบความสำเร็จกว่า คนที่มีนิสัยบางอย่างที่ดีกว่าเรา ฯลฯ เพราะคนเหล่านี้จะมีแนวโน้มที่จะพัฒนาตัวเราด้วย

5. ความอดทนคือกุญแจสำคัญ

“ไม่ว่าเราจะเก่งหรือขยันแค่ไหน บางสิ่งบางอย่างก็ต้องใช้เวลา เราไม่สามารถทำให้เด็กคลอดออกมาอย่างปกติได้ภายใน 1 เดือนโดยการทำให้ผู้หญิง 9 คนท้องแทน”

นอกจากความสามารถของเรา หรือความมุมานะและความพยายาม การทำบางสิ่งบางอย่างมันยังต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสมด้วย ดังนั้นนอกจากความขยันและความสามารถของเรา อีกสิ่งที่ต้องมีคือ “ความอดทนรอคอย”

6. กล้าเสี่ยง (หลังจากวิเคราะห์ดีแล้ว)

“ความเสี่ยงมาจากการที่เราไม่ทราบว่ากำลังทำอะไรอยู่”
แน่นอนว่าธุรกิจมีความเสี่ยง แต่บัฟเฟต์เชื่อว่าจะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยขึ้นอยู่กับว่าเราคำนวณและวิเคราะห์สิ่งที่เราจะทำดีพอหรือยัง ดังนั้น มันจึงดีกว่าที่เราจะคิด พิจารณา วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจเผชิญความเสี่ยงไป แทนที่จะกลัวและไม่กล้าเสี่ยงทำอะไร หรือว่าทำลงไปทั้งๆที่ไม่คิดก่อนทำ

7. ทำสิ่งที่รัก
“มันจะมีช่วงเวลาที่เราควรทำสิ่งที่เราต้องการ ทำงานที่เรารัก ที่มันทำให้เรารีบกระโดดออกจากเตียงในตอนเช้า เพราะผมคิดว่าคุณต้องบ้าแน่ๆถ้าคุณต้องทนทำงานที่ไม่ชอบ เพื่อแค่ให้มันดูดีในเรซูเม่ นั่นมันไม่ใช่การเก็บ Sex เอาไว้สำหรับยามแก่หรอกหรือ?”

สรุปง่ายๆ ก็คือ ทำสิ่งที่คุณรัก เพราะคนส่วนมากกำลังทำลายชีวิตของตัวเองโดยการเลือกทำตามสิ่งที่คนอื่นต้องการ เราควรทำตามสิ่งที่หัวใจต้องการ ทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองถนัดหรือหลงใหล ซึ่งสิ่งนั้นแหละที่เราทุกคนควรทำ เพราะถ้าเราเปลี่ยนนำเอางานอดิเรกของเรามาเป็นงานประจำ มันจะไม่มีวันที่เราจะรู้สึกเกลียดหรือเบื่อหน่ายกับงานอีกเลย และนั่นก็คือประตูแรกของคำว่า “ความสำเร็จ”

8. รู้จักคู่แข่งของเรา

“ในโลกของธุรกิจ กระจกมองหลังชัดกว่ากระจกหน้ารถเสมอ”
ในความคิดของบัฟเฟต์ รู้จักคู่แข่งของเราดีกว่ารู้จักตัวเราเอง เพราะเราจำเป็นต้องติดตามคู่แข่งของเราเสมอว่าเขาจะไปทางไหน จะทำอะไร นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักทราบดีว่าคู่แข่งของเราทำได้ดีแค่ไหนในอดีต และสามารถประเมินได้ว่าพวกเขาจะไปทางไหนและจะทำได้ดีอีกแค่ไหนในอนาคต สรุปก็คือ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง นั่นเอง

9. เดินทีละก้าว

“ผมไม่ได้มองหาว่าจะกระโดดไปข้างหน้าทีละ 7 ฟุตได้อย่างไร แต่ผมมองไปรอบๆว่ามีบาร์ 1 ฟุตที่สามารถจะข้ามไปได้หรือไม่”

บัฟเฟต์ไม่เชื่อในเรื่องการประสบความสำเร็จเพียงขั่วข้ามคืน แต่เขาเชื่อว่าเราควรเดินทีละก้าว แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ เพื่อค่อยๆเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น เพราะก้าวเล็กๆนี่แหละที่แม้จะเล็ก แต่ก็ยั่งยืนมากกว่าการที่ก้าวกระโดดไกล แต่ถ้าพลาดก็อาจจะไปต่อไม่ได้อีกเลย บัฟเฟต์แนะนำว่าเราควรทำอะไรที่ละอย่าง หรือก้าวทีละก้าว แต่เป็นก้าวที่มั่นคง

10. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ

“ข้อแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ คือ คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ รู้จักการปฏิเสธ”

เราควรเลือกการลงทุนแต่ละอย่างด้วยความระมัดระวัง และรู้จักการพูดปฏิเสธเสียงรอบข้างหรือคำแนะนำต่างๆรอบตัวเรา เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเราฝ่ายเดียว การฟังคนอื่นหรือแม้แต่เสียงในหัวมากไปจะทำให้เราเกิดความลังเลสงสัยและตัดสินใจผิดพลาดได้ จงเรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเสียบ้าง

11. ความซื่อสัตย์หาได้ยาก

“ความซื่อสัตย์เป็นของขวัญราคาแพง อย่าคาดหวังว่าจะได้มันจากคนราคาถูก”
คนราคาถูกไม่ได้หมายถึงคนยากจน แต่ในที่นี้หมายถึงคนที่ไม่จริงใจ ที่เราพบเจอได้ทั่วไปในสังคมเรา โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าทุกคนจะตรงไปตรงมากับเรา ให้เลือกคบหาคนที่จริงใจ ซื่อสัตย์และพูดความจริงกับเราดีกว่า เพราะความจริงใจหาได้ยาก ถ้าเราเจอแล้ว ก็อย่าทำให้ตัวเองเสียคนพวกนี้ไป

12. หัดที่จะควบคุม

“เราต้องควบคุมเวลาและสิ่งที่เรามี เราไม่สามารถให้คนอื่นกำหนดชีวิตของเราได้”
อย่าลืมว่าชีวิตเป็นของเรา เราคือเสาหลักของชีวิตเราเอง ดังนั้นเราจึงไม่ควรให้คนอื่นคุมบังเยิ้มยนชีวิตของเรา สิ่งที่สำคัญมากคือการมีอำนาจควบคุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเราเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปกับกระแสน้ำ โดยเฉพาะ “เวลา” เพราะสิ่งที่ทุกคนมีเท่าเทียมกันคือ “เวลา” มันคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่เราควรใช้อย่างชาญฉลาด
Read more ...

สเปน ออกกฎใหม่ ให้วัยรุ่นช่วยพ่อ-แม่ทำงานบ้าน

5 พ.ค. 2557
โดยข่าวสด เมื่อ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เอ็มไทย : สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า ที่สเปนทางการได้ออกกฎหมายใหม่ บังคับใช้ให้เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องแบ่งเขาภาระหน้าที่พ่อแม่ ด้วยการทำงานบ้านตามควรแก่วัย โดยไม่คำนึงว่าจะอยู่ในสถานะเพศใด

ซึ่งการออกกฎดังกล่าวคาดว่า น่าจะมาจากการที่ในปัจจุบัน เด็กวัยรุ่นจำนวนมากเอาแต่หมกตัวนอนกับนอนอยู่ในห้อง โดยไม่สนใจการแบ่งเบาหน้าที่การงานของพ่อแม่ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน และทำให้เกิดจิตสำนึกขึ้นว่าอะไรควรไม่ควร ทางการจึงได้บัญญัติกฎหมายคุ้มครองเยาวชนใหม่ออกมา แต่ทั้งนี้แม้กฎดังกล่าวจะดูรุนแรง แต่ไม่มีบทลงโทษใดๆ หากไม่ปฏิบัติตาม

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการให้นักเรียนควรเคารพครูบาอาจารย์ ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตามระเบียบโรงเรียน รวมไปถึงควรมีทัศนคติรับผิดชอบต่อทรัพย์สินส่วนรวมและสิ่งแวดล้อมด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อข่าวการประกาศกฎให้เยาวชนสเปนช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านได้เผยแพร่ออกไปก็ทำให้มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยกลุ่มคนที่เห็นด้วย ก็ชี้ว่าเป็นเรื่องดีที่เด็กจะตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง แต่กฎแบบนี้อาจจะหนักเกินไปสำหรับเด็กควรให้เด็กเรียนรู้เองโดยไม่ต้องมีกฎมาสั่งให้ทำ และควรเป็นหน้าที่ของครอบครัวที่น่าจะจัดการเองมากกว่า

Read more ...

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget