Ken Robinson: How schools kill creativity

30 พ.ย. 2557
TED2006 · Filmed February 2006 · 19:24

สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้าง? เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล่ะครับ? (มีสัมมนาก่อนหน้านี้ -- ผู้แปล) ผมน่ะ ประทับใจมากเลย ผมก็เลยจะกลับแล้วล่ะ (เสียงหัวเราะ) เห็นด้วยไหมครับว่ามีแนวคิดอยู่ 3 รูปแบบ ในการสัมนาครั้งนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ สิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไป เรื่องแรกคือ หลักฐานที่มหัศจรรย์เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ในการนำเสนอทั้งหมดที่เราได้รับทราบมา และในตัวของทุกๆ ท่าน ที่อยู่ ณ ที่นี้ มันช่างหลากหลาย และกว้างไกลเหลือเกินครับ และเรื่องที่สองก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ได้นำพวกเราไปสู่ที่แห่งหนึ่ง ที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในอนาคต ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นอย่างไร

0:56 ผมมีความสนใจในเรื่องการศึกษา ที่จริงแล้ว ผมพบว่า ทุกๆ คน มีความสนใจในเรื่องของการศึกษา จริงไหมครับ น่าสนใจนะครับ สมมติว่าคุณอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ แล้วคุณพูดว่า คุณทำงานด้านการศึกษา ทั้งที่จริง ถ้าคุณทำงานในแวดวงการศึกษา คุณจะไม่ค่อยได้อยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำบ่อยนักหรอก (หัวเราะ) คือว่าคุณจะไม่ได้รับเชิญตั้งแต่แรกน่ะ ประหลาดนะครับ คุณไม่แย้งผมด้วย เอาเป็นว่าถ้าคุณได้รับเชิญไปงาน แล้วคุยกับคนอื่นๆ ในงาน เกิดมีคนถามคุณว่า "คุณทำงานอะไร" แล้วคุณตอบว่า ผมทำงานด้านการศึกษา คุณจะเห็นว่า หน้าพวกเขาจะซีดลงทันที พวกเค้าจะคิดในใจว่า โธ่ ซวยจริง ๆ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ค่ำคืนแห่งอิสระภาพของฉันในอาทิตย์นี้ (หัวเราะ) แต่ถ้าคุณถามเกี่ยวกับการศึกษาของพวกเขา เค้าจะตอบมาเป็นฉากๆ เลยครับ เพราะว่าการศึกษา เป็นเรื่องที่คนยึดถืออย่างลึกซึ้ง จริงไหมครับ? เหมือนกับเรื่องของศาสนา ความร่ำรวย และอีกหลายๆ เรื่อง ผมมีความสนใจอย่างมากในเรื่องของการศึกษา และผมคิดว่าทุกคนก็คงเหมือนกัน พวกเราสนใจมัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า การศึกษา คือสิ่งที่ จะนำเราไปสู่อนาคตที่เราคาดไม่ถึง ลองคิดดูซิครับ เด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนในปีนี้ (2006) จะเกษียณอายุในปี 2065 ไม่มีใครรู้เลยครับ แม้แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่มาร่วมในการสัมนาช่วง 4 วันที่ผ่านมา ไม่รู้เลยครับว่าโลกจะเป็นอย่างไร แม้แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า และพวกเรานั่นแหละที่จะต้อง สอนเด็กๆ ให้รับมือกับสิ่งที่จะมาถึง ดังนั้น ผมคิดว่าความยากที่จะคาดเดานั้น มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน

2:24 และแนวคิดสุดท้าย แนวคิดที่สามก็คือ พวกเราทุกคนเห็นด้วย ใช่ไหมครับว่า เด็กๆ มีความสามารถที่วิเศษ ความสามารถของพวกเขาในเรื่องของนวัตกรรม ดูจากเด็กหญิง Sirena เมื่อคืนนี้ซิครับ เธอเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์จริงๆ ใช่มั๊ยครับ ในสิ่งที่เธอสามารถทำได้ เธอทำได้เยี่ยมไปเลยครับ แต่ผมก็ยังคิดว่าเธอคงไม่ได้ เก่งไปทั้งหมดในเรื่องของวัยเด็ก แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นคือ คนที่มีความมุ่งมั่นเป็นเลิศ คือคนที่หาความสามารถเฉพาะตัวของตนเองเจอ ข้อโต้แย้งของผมก็คือ ผมคิดว่า เด็กทุกคน มีความสามารถเฉพาะตัว แต่พวกเรากลับทำลายมันอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น วันนี้ ผมอยากจะพูดถึง การศึกษา และ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดที่ผมต้องการนำเสนอคือ ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีความสำคัญในด้านการศึกษาพอๆ กับการรู้หนังสือ และเราควรที่จะให้ความสำคัญกับมันอย่างเท่าเทียมกัน (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ อันที่จริงก็เท่านั้นล่ะครับ ขอบคุณมากครับ (หัวเราะ) เอาล่ะ เหลืออีก 15 นาที อืม ตอนที่ผมเกิด....ไ่ม่ล่ะ (หัวเราะ)

3:28 เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยินเรื่องๆ หนึ่ง ที่ผมชอบที่จะเล่าต่อให้กับคนอื่นๆ ฟัง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงอายุ 6 ขวบ คนหนึ่งในชั่วโมงศิลปะ เธอนั่งวาดรูปอยู่หลังห้อง คุณครูของเธอบอกว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เคยให้ความสนใจในสิ่งใดๆ เลย นอกจากในชั่วโมงศิลปะของวันนี้ คุณครูรู้สึกประหลาดใจมาก จึงเดินเข้าไปหาเด็กน้อย แล้วถามเธอว่า "หนูกำลังวาดอะไรอยู่จ๊ะ" เด็กน้อยตอบว่า "หนูกำลังวาดรูปของพระเจ้าค่ะ" แล้วคุณครูก็ถามต่อว่า "แต่ว่าไม่มีใครรู้นะจ๊ะว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นยังไง" เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า "อีกแป๊บนึงพวกเค้าก็จะรู้แล้วล่ะค่ะ" (หัวเราะ)

4:03 ตอนที่ลูกชายของผมอายุ 4 ขวบ ในอังกฤษ อืม อันที่จริงแล้วเขาก็อายุ 4 ขวบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแหละครับ (หัวเราะ) ถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนในปีนั้น เขาก็อายุ 4 ขวบ เขาได้ร่วมแสดงในการแสดงเกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู คุณจำเรื่องราวได้ไหมครับ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะครับ เมล กิ๊บสัน ถึงขั้นทำภาคต่อเลยทีเดียว คุณคงเคยได้ชมแล้ว "กำเนิดพระเยซู ภาค 2" เจมส์ ลูกชายของผม ได้เล่นเป็น โจเซฟ ซึ่งพวกเราตื่นเต้นกันมาก เราถือว่านี่เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงนำเลยทีเดียว ตอนไปดูเรายกทีมกันใส่เสื้อยืดที่สกรีนว่า "เจมส์ โรบินสัน เป็น โจเซฟ" (หัวเราะ) เขาไม่มีบทพูดเลยครับ แต่คุณก็คงรู้ว่าเค้าบทเป็นอย่างไร ตอนที่กษัตริย์ 3 พระองค์ เดินทางมาถึง พวกเขานำของขวัญมาด้วย ซึ่งได้แก่ ทอง ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ น้ำมันหอม เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงครับ พวกเรานั่งดูอยู่ที่นั่น ผมคิดว่าเกิดการผิดคิวกันเกิดขึ้น เพราะว่าเราคุยกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งหลังจากที่ตัวละครเดินเข้ามาบนเวที เราถามเขาว่า "หนูว่านี่โอเคมั๊ย" เด็กน้อยตอบว่า "ครับ ทำไมเหรอครับ?" "มีอะไรผิดปกติเหรอครับ" พวกเขาแค่ยืนสลับที่กัน อย่างไรก็ตาม เด็กชายสามคนเดินเข้ามาบนเวที เด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีผ้าเช็ดจานวางอยู่บนศีรษะ แล้วพวกเขาก็วางกล่องของขวัญลง เด็กชายคนแรกพูดว่า "ข้านำทองมาให้เจ้า" เด็กชายคนที่สองพูดว่า "ข้านำน้ำมันหอม มาให้เจ้า" แล้วเด็กชายคนสุดท้ายก็พูดว่า "อันนี้แฟรงค์ส่งมา" (หัวเราะ เพราะศัพท์ที่ควรพูดคือ Frankincense)

5:22 ทั้งสองเรื่องที่ผมเล่ามา มีสิ่งที่เหมือนกันคือ เด็กทุกคนกล้าที่จะลอง ถึงพวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาก็จะลองดู จริงไหมครับ? เด็กไม่กลัวที่จะทำผิดพลาด เอาล่ะ แต่นี่ผมไม่ได้หมายความว่าการทำผิดพลาด เป็นสิ่งเดียวกันกับการมีความคิดสร้างสรรค์นะครับ แต่เราทุกคนทราบว่า ถ้าหากเราไม่พร้อมยอมรับกับการกระทำที่ผิดพลาด เราจะไม่มีวันสร้างสรรค์สิ่งที่แปลกใหม่ขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่พร้อมยอมรับกับการทำผิดพลาด และรู้ไหมครับว่าเมื่อเวลาที่เด็กๆ โตเป็นผู้ใหญ่ เด็กส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถในการยอมรับความผิดพลาด พวกเขาจะกลายเป็นมีความเกรงกลัวต่อการทำผิดพลาด คิดดูซิ พวกเราบริหารบริษัทแบบนี้ แบบที่เราทำให้การทำผิดพลาดเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และตอนนี้ เราก็บริหารระบบการศึกษาแบบที่ยอมรับความผิดพลาดไม่ได้ด้วย การทำผิด กลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ที่คุณจะสามารถทำได้ ดังนั้น ผลของมันก็คือ เรากำลังให้การศึกษาแก่คน เพื่อให้ละทิ้ง ความสามารถในด้านความคิดสร้างสรรค์ ครั้งหนึ่ง ปิกัสโซ่ (ศิลปินด้านการวาดภาพ) เคยกล่าวไว้ว่า เด็กทุกคนเกิดมาเป็นศิลปิน ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้ความเป็นศิลปินนั้นยังคงอยู่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ ผมเชื่ีอเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นตามการเจริญเติบโต แต่พวกเรากลับมีลดน้องถอยลง ตามอายุที่มากขึ้น หรืออาจจะพูดได้ว่า พวกเราได้รับการศึกษาให้มีความถดถอยด้านความคิดสร้างสรรค์ มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรล่ะ?

6:21 ผมอาศัยอยู่ที่เมือง Stratford-on- Avon เมื่อ 5 ปีก่อน หลังจากนั้น ครอบครัวเราก็ได้ย้ายย้ายจาก Stratford มาที่ Los Angeles ลองจินตนาการดูซิครับว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดไหน (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว พวกเราอยู่ในเมืองที่เรียกว่า Snitterfield ซึ่งอยู่ในรอบนอกของ Stratford มันเป็นสถานที่ที่ เป็นบ้านเกิดของคุณพ่อของ Shakespeare คุณได้ยินอย่างนี้เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นรึเปล่า? ผมเป็นนะ คุณไม่เคยคิดว่า Shakespeare มีพ่อใช่ไหมครับ จริงไหม คุณคงไม่เคยคิดถึงว่า Shakespeare ตอนเป็นเด็ก ใช่ไหมครับ? Shakespeare อายุ 7 ขวบ เหรอ? ผมไม่เคยคิดถึงหรอก แต่จริงๆ แล้ว ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เขาเคยอายุ 7 ขวบ เขาเคยเรียนอยู่ในวิชาภาษาอังกฤษของครูสักคนหนึ่ง ใชไหมครับ? มันจะน่ารำคาญสักแค่ไหนน๊า? (หัวเราะ) ครูของเขาคงจะเขียนรายงานผลการเรียนว่า"ต้องพยายามมากกว่านี้" หรืออย่างตอนที่พ่อของ Shakespeare ส่งเขาเข้านอน "ไปนอนได้แล้ว" "วางดินสอลง แล้วก็หยุดพูดแบบนี้ซะที มันทำให้คนอื่นเค้าสับสนกันไปหมด" (หัวเราะ)

7:34 เอาล่ะครับ กลับมาเข้าเรื่อง ก็คือครอบครัวของผมย้ายจากเมือง Stratford มาที่ Los Angeles ที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ ลูกชายของผมไม่อยากย้ายมาเลย ผมมีลูกสองคนครับ ลูกชายตอนนี้อายุ 21 ส่วนลูกสาวอายุ 16 เจ้าลูกชายผมเค้าไม่อยากย้ายไป Los Angeles จริงๆ เขาชอบเมืองนี้นะครับ แต่ว่า ณ ตอนนั้น เขามีแฟนอยู่ในอังกฤษ ชื่อ ซาร่าห์ รักเดียวของเขาเลยล่ะครับ เขารู้จักเธอมาได้ประมาณเดือนนึง แต่จะว่าไป อาจจะเรียกได้ว่าพวกเขาเหมือนแต่งงานกันมาแล้วครบ 4 ปี เพราะว่าการคบกับใครได้ 1 เดือนสำหรับเด็กอายุ 16 แล้ว มันเหมือนเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น ลูกชายผมจึงเสียใจมากตอนที่อยู่บนเครื่อง เขาบอกว่า "ผมคงไ่ม่มีทางเจอผู้หญิงอย่างซาร่าห์อีกแล้ว" จริงๆ แล้ว ผมกับภรรยา ดีใจครับที่เป็นแบบนั้น เพราะว่า ซาร่าห์ คือเหตุผลหลักที่เราตัดสินใจย้ายออกจากอังกฤษ (หัวเราะ)

8:24 แต่การย้ายมาอเมริกาทำให้เราฉุกคิดครับ เมื่อคุณได้ท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก คุณจะพบว่า ระบบการศึกษา ทุกที่บนโลกนี้ มีืการจัดระดับของวิชาต่าง ๆ แบบเดียวกัน ทุกที่เลยครับ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณอาจคิดว่ามันน่าจะต่างกัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ ระดับบนสุดก็คือ คณิตศาสตร์ และ ภาษา จากนั้ืนก็มนุษยศาสตร์ และล่างสุดคือศิลปะ เป็นแบบนี้ทั้งโลกเลยครับ และเป็นแบบนี้ในทุกระบบด้วยครับ นอกจากนี้ข้างในสาขาศิลปะเองก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ในสถานศึกษา จิตรกรรม และ ดนตรี จะมีสถานะที่สูงกว่า การแสดง และการเต้นรำ ไม่มีระบบการศึกษาใดเลยในโลกนี้ ที่เราสอนให้เด็กๆ เต้นรำ ทุกวัน เหมือนกับที่เราสอนคณิตศาสตร์ ทำไมล่ะครับ ทำไมเราถึงไม่ทำอย่างนั้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญมากทีเดียว ใช่ครับ ผมยอมรับว่าความรู้ด้านคณิตศาสตร์นั้นสำคัญ แต่ผมว่าการเต้นก็สำคัญเหมือนกัน เด็กๆ เต้นตลอดเวลา ถ้าพวกเขาได้รับอนุญาต พวกเราก็มีร่างกายด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหมครับ ผมไม่ได้พลาดอะไรไปใช่ไหม (หัวเราะ) จริงๆ นะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อเด็กๆ โตขึ้นๆ พวกเราก็ค่อยๆ สอนเด็กเหล่านั้น ให้ใช้ความสามารถตั้งแต่เอวขึ้นไป แล้วเราก็เน้นเฉพาะการใช้สมอง และค่อนข้างจะไปทางซีกหนึ่งของสมองด้วย

9:21 ถ้าหากคุณเป็นมนุษย์ต่างด้าวแล้วได้เข้าไปเยี่ยมชมงานด้านการศึกษา เพื่อตอบคำถามว่า "การศึกษา มีไว้เพื่ออะไร?" คุณคงจะได้ข้อสรุป จากการพิจารณาจากผลผลิตที่ออกมา จากคนที่ได้รับผลประโยชน์จากมัน คนที่ทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรทำ คนที่ประสบความสำเร็จ คุณน่าจะได้ข้อสรุปว่า วัตถุประสงค์ ของการศึกษา ของทั้งโลกใบนี้ คือ การผลิตอาจารย์มหาวิทยาลัย ว่ามั๊ยครับ พวกเขาเหล่านั้น คือ คนที่อยู่อันดับต้นๆ ของการจัดอันดับครับ ผมก็เคยอยู่ในคนกลุ่มนั้นครับ เป็นยังไงล่ะ (หัวเราะ) ผมชอบอาจารย์มหาวิทยาลัยนะครับ แต่ผมว่า เราไม่ควรยกย่องพวกเขาว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุด พวกเขาก็แค่สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งเท่านั้นครับ ที่ค่อนข้างจะมีความช่างคิด ช่างสงสัย และผมพูดอย่างนี้โดยไม่คิดถึงความชื่นชมที่มีต่อพวกเขานะครับ จากประสบการณ์ที่ผมมี มีบางอย่างน่าสนใจเกี่ยวกับบรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ครับ ไม่ใ่ช่ทุกคนนะครับ แค่บางคน ที่ีมีชีวิตอยู่แต่กับความคิดในหัวของตัวเอง อยู่อย่างนั้นเลยครับ แล้วค่อนข้างไปทางสมองซีกหนึ่ง พวกเขาไม่สนใจร่างกายของพวกเขาหรอกครับ พวกเขามองว่าร่างกายนั้น ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้ศีรษะของพวกเขาเคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ (หัวเราะ) ร่างกายก็เป็นแค่สิ่งที่พาศีรษะของเขาไปประชุม ถ้าคุณอยากเห็นหลักฐานเกี่ยวกับประสบการณ์การละทิ้งร่างกาย ลองไปเข้าร่วมงานสัมนาของอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยซิครับ บรรดาผู้มีคุณวุฒิทางการศึกษา ไปงานเต้นรำในคืนสุดท้ายของการสัมนานะครับ (หัวเราะ) ณ ที่นั่น คุณจะได้เห็น ชาย หญิง ที่โตแล้ว ขยับแข้ง ขยับขา แบบไม่เข้าจังหวะเอาเสียเลยครับ อยู่จนงานเลิก แล้วไปเขียนบนความเกี่ยวกับเรื่องนั้นนะครับ

10:58 ทีนี้ ระบบการศึกษาของเราเกิดจากความคิดเกี่ยวกับความสามารถทางวิชาการ แ่ต่มันก็มีเหตุผลจากว่า ระบบนี้ในทั่วโลก ถูกสร้างขึ้นในช่วง ก่อนศตวรรษที่ 19 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีระบบการศึกษาสาธารณะเกิดขึ้นเลยครับ มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ ตอบสนองความต้องการในยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้น อันดับ ความสำคัญของวิชาต่างๆ ถูกจัดโดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยแรก วิชาที่มีประโยชน์กับลักษณะงานที่มีอยู่ในยุคนั้นมากที่สุด จะถูกจัดไว้สูงสุด ดังนั้น คุณจะได้รับการชี้นำให้ออกห่าง จากสิ่งที่คุณชอบ ณ ตอนที่คุณเป็นเด็ก ด้วยเหตุผลที่ว่า คุณไม่มีทางทำมาหากินได้จากวิชาความรู้ที่คุณชอบได้ จริงรึเปล่าครับ ไม่ต้องเรียนดนตรีหรอก โตขึ้นจะเป็นนักดนตรีไม่ได้นะ ไม่ต้องเีรียนศิลปะหรอก โตขึ้นไม่ได้จะเป็นศิลปินเสียหน่อย คำแนะนำเหล่านี้ ณ ตอนนี้เราพลแล้วว่าเป็นความคิดที่ผิด โลกเราตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติ ถัดมาคือความสามารถในด้านวิชาการ ที่มีผลเป็นอย่างมาก กับมุมมองของพวกเราในเรื่องของสติปัญญา นั่นเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยได้ออกแบบระบบการศึกษาจากภาพลักษณ์ของตัวมันเอง ลองนึกดูซิครับว่า ระบบการศึกษาสาธารณะทุกที่ในโลกนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ในการเข้าสู่มหาวิทยาลัย และผลก็คือ มีหลายคนที่้ มีพรสวรรค์ มีความสามารถเฉพาะตัว เก่ง และมีความสร้างสรรค์ กลับคิดว่าพวกเขาไม่มีความสามารถอะไรเลย เพียงเพราะว่า พวกเขาเรียนไม่เก่ง ไม่มีใครมองเห็นคุณค่า แล้วกลับถูกมองว่าผิดปกติ ผมว่า เราไม่ควรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปนะครับ

12:07 ด้วยข้อมูลจากองค์กรยูเนสโก้ ภายใน 30 ปี จากนี้ ทั่วโลกจะมีคนจบการศึกษา มากกว่าจำนวนคนทั้งหมด ณ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ จะมีคนจำนวนมากขึ้น แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี และการเปลี่ยนรูปร่างของมันที่มีผลต่อ งาน และลักษณะโครงสร้างของประชากร และจำนวนของประชากรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศา่ล ถึงตอนนั้น การมีปริญญาจะไ่ม่มีความหมายอีกต่อไป จริงไหมครับ ตอนที่ผมเป็นนักศึกษา ตอนนั้นถ้าคุณมีปริญญา คุณก็จะมีงานทำ แล้วถ้าหากคุณไม่มีงานทำ นั่นเป็นเพราะว่าคุณไม่ต้องการมัน แล้วจริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากได้มันหรอกครับ (หัวเราะ) แต่คนรุ่นใหม่ที่ีมีปริญญาตอนนี้ หลายคนกลับไปอยู่บ้าน แล้วยังคงเล่นวีดีโอเกมส์ เพราะคุณต้องมีปริญญาโท เพื่อขยับจากงานเก่าที่ต้องการคนจบปริญญาตรี แล้วตอนนี้คุณก็ต้องมีปริญญาเอกเพื่ีอให้ได้อีกงานหนึ่ง มันเป็นกระบวนการเฟ้อของการศึกษา และมันชี้ให้เป็นว่าโครงสร้างของการศึกษา ได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วในช่วงชีวิตของพวกเรา เราจึงจำเป็นต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับมุมมองของเราในเรื่องของสติปัญญา

12:55 เรารู้อยู่ 3 อย่างเกี่ยวกับสติปัญญา สิ่งแรกคือมันหลากหลาย เรามองโลกในมุมมองที่หลากหลาย จากสิ่งที่เราได้ประสบ เราคิดจากสิ่งที่เห็น จากสิ่งที่ได้ยิน จากการลงมือทำ เราคิดในแบบที่เป็นนามธรรม เราคิดในการเคลื่อนไหว สิ่งที่สองคือ สติปัญญานั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าคุณมองการปฏิสัมพันธ์ในเซลล์ต่างๆ ของสมอง จากที่เราได้ฟังจากหลายการนำเสนอเมื่อวานนี้ สติปัญญาเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่มหัศจรรย์ สมองของเราไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่ผมนิยามไว้ว่า เป็นกระบวนการ ในการสร้างให้เกิดแนวความคิดที่เป็นต้นฉบับ ที่มีคุณค่า หลายครั้งมันไม่ได้มาจากการปฏิสัมพันธ์ ของการมองสิ่งต่างๆ ในรูปแบบที่ต่างกันไป

13:32 สมองนั้นถูกออกแบบ ให้มีการประสานกันของเส้นประสาท ที่ได้หลอมรวมสมองทั้งสองส่วน เรียกว่า Corpus Collosum ซึ่งในผู้หญิงนั้นพบว่าจะมีความหนากว่าผู้ชาย ซึ่งก็เป็นไปตามที่ เฮเลน ได้พูดไว้เมื่อวานนี้ ผมคิดว่า มันคือเหตุผลว่าทำไมผู้หญิงจึงสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กันได้ดีกว่าผู้ชาย เพราะว่าพวกคุณเก่งกว่าจริงๆ ใช่มั๊ย มีงานวิจัยสนับสนุนความคิดนี้มากมายเลยครับ แต่ผมรู้ได้จากชีวิตของผมเอง ถ้าหากภรรยาของผมทำอาหารที่บ้าน โชคดีครับที่เธอไม่ได้ทำมันบ่อยนัก (หัวเราะ) เธอทำอาหารบางจานอร่อยนะครับ เอาเป็นว่า ถ้าภรรยาผมทำอาหาร เธอสามารถคุยโทรศัพท์ คุยกับลูกๆ พร้อมกับทาสีผนังไปด้วย ให้ผ่าตัดหัวใจไปด้วยก็ยังได้ แต่ถ้าตอนผมทำอาหาร ประตูครัวจะถูกปิด เด็กๆ จะต้องออกไปข้างนอก หูโทรศัพท์ต้องยกออก ถ้าภรรยาผมเข้ามาในครัว ผมจะรำคาญมาก ผมจะบอกว่า เทอรี่ ได้โปรดเถอะ ขอเวลาส่วนตัวหน่อยได้ไหม ผมกำลังทอดไข่ดาวอยู่นะ คุณเคยได้ยินคำพูดนี้รึเปล่า ถ้าต้นไม้ต้นหนึ่งในป่าล้มลง แล้วไม่มีใครได้ยิน เรายังคิดว่ามันเกิดขึ้นจริงรึเปล่า จำเรื่องต้น Chestnut ต้นนั้นได้ไหมครับ เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเห็นเสื้อยืดตัวหนึ่งสกรีนคำว่า "ถ้าชายคนหนึ่งบอกความในใจของเขาในป่า และไม่มีผู้หญิงคนไหนได้ยิน เขาจะยังผิดรึเปล่า?" (หัวเราะ)

14:51 เอาล่ะครับ มาถึงลักษณะที่ 3 ของความฉลาด ซึ่งก็คือ มันมีความเป็นแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชื่อว่า Epiphany ซึ่งเนื้อหานำมาจาก บทสัมภาษณ์บุคคลหลายๆ ท่าน เกี่ยวกับการค้นพบ ความสามารถพิเศษของพวกเขา ผมหลงไหลกับวิธีการที่คนเหล่านั้นก้าวมาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ แนวคิดของหนังสือนี้ มาจากการที่ผมได้พูดคุย กับผู้หญิงที่วิเศษคนหนึ่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่ อาจจะไม่รู้จัก เธอคนนั้นชื่อ จิลเลี่ยน ลินน์ ครับ คุณเคยได้ยินชื่อเธอมาบ้างรึเปล่า? บางคน ณ ที่นี้รู้จักนะครับ เธอเป็นนักออกแบบท่าเต้นครับ ทุกคนจะต้องรู้จักผลงานของเธอ เธอทำละครเวทีเรื่อง Catz และ Phantom of the Opera ครับ เธอเยี่ยมมากเลย ผมเคยเป็นกรรมการบริหารของ Royal Ballet ในประเทศอังกฤษ พอจะเดาออกไหมครับ เอาล่ะ วันหนึ่งผมกับจิลเลี่ยนทานอาหารกลางวันด้วยกัน ผมถามเธอว่า "จิลเลี่ยน คุณมาเป็นนักเต้นได้อย่างไร" เธอตอบว่า ตอนที่เธอเป็นนักเรียน การเรียนของเธอย่ำแย่มาก ตอนนั้นก็ยุค 30s ครับโรงเรียนของเธอ ส่งจดหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ในนั้นเขียนว่า "เราคิดว่าจิลเลี่ยนมีปัญหาในการเรียนรู้" เธอไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดได้ ผมคิดว่าถ้าเป็นสมัยนี้ เราเรียกอาการนี้ว่า เธอเป็นโรคสมาธิสั้น ว่าไหมครับ แต่ในยุค 1930s โรคสมาธิสั้นยังไม่ถูกค้นพบ มันก็เลยไม่ได้เป็นอาการที่คนจะเลือกเป็นกันได้ (หัวเราะ) คนก็เลยไม่ทราบว่าพวกเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องนี้

15:50 จิลเลี่ยนก็ได้ไปพบผู้เชี่ยวชาญ กับคุณแม่ของเธอ เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านหนึ่ง เธอนั่งทับมือเธอไว้ 20 นาที ในระหว่างที่ผู้เชี่ยวชาญคนนี้คุยกับคุณแม่ของเธอ เกี่ยวกับปัญหาของจิลเลี่ยนที่โรงเรียนว่า เธอรบกวนเด็กคนอื่นๆ เธอส่งการบ้านสายเสมอ เด็กอายุ 8 ขวบ เท่านั้นครับ ในตอนสุดท้าย คุณหมอท่านนี้ก็เดินมานั่งข้างๆ จิลเลี่ยน แล้วเขาก็บอกกับจิลเลี่ยนว่า หมอได้ฟังเรื่องต่างๆ ของหนูจากคุณแม่แล้วนะจ๊ะ หมอต้องขอคุยกับคุณแม่เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย รอพวกเราอยู่ในห้องนี้สักพักนะจ๊ะ เราจะไปไม่นานหรอก แล้วคุณหมอ กับคุณแม่ของเธอก็เดินออกไปจากห้อง ก่อนที่คุณหมอจะออกไปจากห้อง เขาก็เปิดวิทยุ ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อพวกเขาอยู่ข้างนอก คุณหมอก็พูดกับคุณแม่ของจิลเลี่ยนว่า คอยยืนดูจิลเลี่ยนอยู่ตรงนี้นะครับ และตั้งแต่เมื่อคุณหมอและคุณแม่ของเธอออกจากห้องไป จิลเลี่ยนบอกว่าเธอก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็เต้นไปตามเสียงเพลง คุณหมอกับคุณแม่มองเธออยู่จากด้านนอกประมาณ 2-3 นาที คุณหมอก็หันไปบอกกับคุณแม่ของเธอว่า คุณนายลินน์ครับ จิลเลี่ยนไม่ได้ป่วยหรอกครับ เธอเป็นนักเต้นต่างหาก ส่งเธอไป โรงเรียนสอนเต้นรำเถอะ

16:50 ผมถามจิลเลี่ยนว่า แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้น จิลเลี่ยนบอกว่า แม่ส่งฉันไปค่ะ ฉันบรรยายไม่ถูกเลยว่ามันมหัศจรรย์ขนาดไหน เราเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วย คนที่เหมือนๆ กับฉัน คนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ คนที่ต้องขยับตัวตลอดเวลาเพื่อคิด ที่นั่นสอนเต้นบัลเล่ต์ แท๊บ แจ๊ส การเต้นสมัยใหม่ และแบบร่วมสมัย เธอได้ไปคัดเลือกตัวที่ Royal Ballet School แล้วเธอก็ได้เป็นนักเต้นเดี่ยว มีอาชีพวิเศษ ที่คณะ Royal Ballet แล้วเธอก็เรียนจบ จาก The Royal Ballet School จากนั้น เธอก็เปิดบริษัทสอนเต้นรำของตัวเอง ชื่อ The Gillian Lynne Dance Company เธอได้เจอกับ แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์ (ผู้สร้าง Phantom of the Opera) เธอได้ร่วมงานกับเขา และมีส่วนร่วม กับละครเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในประประวัติศาสตร์ เธอได้ให้ความสุขกับคนนับล้าน เธอกลายเป็นมหาเศรษฐี ถ้าเธอไม่ได้เจอคุณหมอคนนั้น เธออาจได้รับยา แล้วก็บอกให้เํธออยู่นิ่งๆ สงบสติอารมณ์

17:38 เอาล่ะ ทีนี้ผมคิดว่า (เสียงปรบมือ) มาถึงเรื่องที่ อัล กอร์ พูดเมื่อคืนก่อน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และที่ Rachel Carson กล่าวถึงเรื่องของวิวัฒนาการ ผมเชื่อว่า สิ่งเดียวที่เราสามารถฝากอนาคตของเราไว้ได้คือ แนวความคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของมนุษย์ เราจะต้องเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนวิธีการคิด เกี่ยวกับสามารถอันมหาศาลของความสามารถของมนุษย์ ระบบการศึกษาของเราได้ปลูกฝังความคิดของเราในรูปแบบที่ เราใช้ทรัพยากรของเราเพื่อให้ได้มาเพียงผลผลิตบางอย่าง ที่ในอนาคตจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ เราจะต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก ในการให้การศึกษาแก่ลูกหลานของเรา ผมขอยกคำพูดหนึ่งของ Jonas Salk ที่ว่า ถ้าพวกแมลงทั้งหมดหายไปจากโลกนี้ ภายใน 50 ปี ทุกชีวิตบนโลกก็จะสิ้นไป แต่หากมนุษย์หายไปจากโลกนี้ ภายใน 50 ปี สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้สมบูรณ์ เขาพูดถูกนะครับ

18:32 สิ่งที่ TED ส่งเสริม คือของขวัญจากจินตนาการของมนุษย์ เราจะต้องระวังว่า เราได้ใช้ของขวัญนี้ อย่างรู้ค่า และเราได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวอย่างที่ เราได้พูดถึงกันในวันนี้ และมีเพียงวิธีการเดียว ที่เราจะทำอย่างนั้นได้ คือ การที่เรามองความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ว่ามันมีมากมายมหาศาล และมองลูกหลานของเราว่าพวกเขามีสิ่งเหล่านั้น และหน้าที่ของเราก็คือสอนพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเผชิญกับอนาคตได้ พวกเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตนั้่น แต่ลูกหลานของเราจะได้เห็น ดังนั้น มันเป็นหน้าที่ของพวกเรา ที่จะช่วยให้ลูกหลานของเราอยู่กับอนาคตนั้นได้ ขอบคุณมากครับ
Read more ...

ผู้นำทางการเมือง

30 พ.ย. 2557
เมื่อ  Sep 26, 2011

ผู้นำทางการเมือง ต้องทำ หรือพูด ในสิ่งถูกต้อง แม้คนยังรับไม่ได้
เพื่อรณรงค์ให้การศึกษา ให้คนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
คิดถึงคนที่เสียสละชีวิตไปเป็นร้อยเป็นพันคนเพื่อเรียกร้อง ปชต.ให้ประเทศนี้ด้วย 
Read more ...

​'การศึกษาไทยล้มเหลวเพราะกรอบ'

30 พ.ย. 2557
โดยวอยซ์ทีวี เมื่อ 30 พ.ย.2557

เวทีเสวนาร่วมถกปัญหาการศึกษาไทย ชี้เด็กไทยล้มเหลวทางการศึกษา เพราะการถูกตีกรอบ และกีดกันการตั้งคำถาม โดยเฉพาะ การนำความเชื่อส่วนบุคคล มาสอนปนกับความจริง

กลุ่มสภาหน้าโดม จัดงานเสวนาในหัวข้อ "ปัญหาการศึกษาไทย: ว่าด้วยคุณสมบัติของเด็กดีในแบบเรียนไทย" โดยร่วมกันอภิปรายกรอบความคิดในหลักสูตรการศึกษา ที่ทำให้การศึกษาในประเทศไทย ไม่สามารถพัฒนาอย่างมีคุณภาพได้

โดย รองศาสตราจารย์โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ จากภาควิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ก่อนอื่น เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจ ว่า"ความดี" เป็นนิยามที่ไม่เคยตายตัว และการนิยามว่า สิ่งใดดี หรือไม่ดีนั้น จำเป็นต้องมองว่า สิ่งนั้นเป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าบางคร้ัง สิ่งที่เรียกว่าเป็น "ความดี" หรือ "คนดี" เช่นตามหลักศาสนา ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็เป็นได้

ทางด้าน นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด มองว่าการศึกษาไทย มีลักษณะที่ตีกรอบ ปลูกฝังแต่สิ่งที่เป็นความคิดสำเร็จรูป ไม่ผ่านการตั้งคำถาม หรือส่งเสริมการหาคำตอบด้วยตนเอง ทำให้ท้ายที่สุด บุคลากรที่ผ่านระบบการศึกษาแบบไทยๆจำนวนมาก ไม่สามารถเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ที่ต้องอาศัยศักยภาพชีวิตที่เป็นจริงได้

ในขณะที่นางสาวณัฐนันท์ วรินทรเวช นักเรียนจากกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท มองว่าการศึกษาไทย ถูกรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางและไม่สามารถแยกสิ่งที่เป็นความเชื่อ ออกจากสิ่งที่ถูกต้องได้ โดยเน้นสอนสิ่งที่เป็นความเชื่อมากกว่าความจริง ทำให้บุคลากรอันเป็นผลผลิตจากการศึกษา ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ในการคิดวิเคราะห์ เนื่องจากถูกปลูกฝังให้เชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่ตั้งคำถามใดๆ
Read more ...

สุดยอด 10 ความคิด ให้รวยล้นฟ้า

30 พ.ย. 2557
โดยสนุก เมื่อ 5 ก.ย. 55

ความคิดของเราถ้าเราคิดให้ถูก เราก็สามารถมีความสุขกับชีวิตได้ ในที่นี้คำว่าคนรวยไม่ได้หมายถึงมหาเศรษฐี

แต่หมายถึงคนที่มีความสุขกับการทำงานและรักในงานที่ทำและมีความสุขในชีวิต


1. คนปกติคิดว่าเงินตราคือความชั่วร้าย แต่ คนรวยมองความยากจนเป็นสิ่งชั่วร้าย

เหมือนผู้คนที่มีฐานะปานกลางจะถูกปลูกฝังว่าคนที่เกิดมารวยนั้นโชคดี หรือไม่ก็ฉ้อโกงมา

ส่วนเหล่าคนรวยนั้นรู้ว่าเงินไม่อาจซื้อความสุขได้แต่มันทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างง่ายดายมากกว่าจึงปฏิเสธความจนโดยการเลือกที่จะทำงานหนัก

2. คนปกติมักคิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมา แต่คนรวยมักคิดถึงเรื่องในอนาคต

คนรวยมักที่จะคิดถึงอนาคตที่รออยู่เผื่อการตัดสินใจต่างๆ จะได้ง่ายขึ้นเพื่อที่จะได้ไปถึงวันที่ดีกว่า

ส่วนคนปกติ มักจะคิดว่าวันที่ดีของเขาคืออดีต ซึ่งทำให้จมอยู่กับอดีตแล้วไม่ได้คิดถึงการวางแผนในอนาคต

3. คนปกติมองเงินผ่านอารมณ์ แต่ คนรวยมักมองเงินตราผ่านหลักการความเป็นไปได้

คนรวยมักที่จะมีหลักการต่างๆที่จะวางแผนที่จะหาเงินจากโอกาส ที่อยู่ในอาชีพของตน

ส่วนคนปกติมักจะคาดฝันเงินที่จะทำได้จากการทำงาน โดยไม่มองหาโอกาสที่จะทำเงินเพิ่มได้

4. คนปกติได้รับเงินจากการทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ คนรวยมักทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วได้เงิน

คนปกตินั้นดูเหมือนจะทำงานอยู่ตลอดเวลาแต่หลักการที่ฉลาดนั้นคือค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ และประยุกต์มันให้สามารถทำเงินได้ต่างหาก

5. คนธรรมดามักจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ต่ำเพื่อที่จะไม่เจ็บตัว แต่คนรวยนั้นมักพร้อมสำหรับการท้าทายใหม่ๆเสมอ

อย่างที่เล่าไปคนธรรมดามักจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ต่ำเพื่อที่จะไม่เจ็บตัวซึ่งต่างกับคนรวยที่มักที่จะกล้าเสี่ยงกับอะไรใหม่ๆ ซี่งทำให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ที่ดีกว่า

6. คนธรรมดามักคิดว่าอยากรวย แต่ คนรวยมักคิดว่าต้องเป็นอะไรซักอย่างถึงทำให้ตัวเองรวย

คนที่รวยมักจะนำสิ่งที่ตัวเองเป็นมาเป็นจุดขายให้กับตัวเองในการทำงานหรือธุรกิจต่างๆ

แต่คนปกติมักจะคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรซักอย่าง โดยไม่สนว่าต้องทำอะไรซึ่งบางที่อาจจะทำให้ตัวเองไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ

7. คนธรรมดามักมุ่งไปที่การเก็บเงินอย่างเดียว แต่ คนรวยมักมุ่งไปที่การได้รับเงินด้วย

การที่ได้รับเงินนั้นเป็นวิธีที่ทำให้เราได้หลักทรัพย์มากขึ้นคนรวยมักจะหาวิธีที่ทำให้ตัวเองได้สิ่งนี้มาเพิ่ม โดยนำสิ่งที่ตัวเองสนใจ มาสร้างโอกาสในขณะที่เก็บเงินอยู่ด้วย

8. คนธรรมดามักกดดันกับเงินตรา แต่ คนรวยมักเข้าใจในการหมุนเวียนของเงิน

คนรวยมักจะเข้าใจการหมุนเวียนของเงินอยู่แล้วจึงไม่มีความกดดันกับเงินค่าต่างๆที่ต้องเสียไป แต่คนธรรมดามักจะให้อำนาจเงินตรา อยู่เหนือตนเองและเป็นสิ่งที่ครอบครองความคิด

9. คนธรรมดามักโตมากับการเอาตัวรอด แต่ คนรวยมักโตมากับความคิดที่ว่าฉันจะต้องประสบความสำเร็จ

คนธรรมดามักที่จะคิดว่าการที่จะเอาตัวรอดไปวันๆก็เป็นเรื่องที่เพียงพอแล้ว แต่คนรวยมักจะคิดและวางแผนให้กับชีวิตตัวเองเพื่อ ให้ตนเองประสบความสำเร็จในอาชีพและชีวิตในอนาคต

10.คนปกติคิดว่าการใช้เงินฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องไม่ดี แต่คนรวยมองว่า เงินช่วยให้มีความสุขขึ้นได้

เหล่าเศรษฐีมักจะออกไปหาความสุขใส่ตัวให้เต็มที่และก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำ

ส่วนคนทั่วไป อาจจะมองว่าเอาเงินไปทำอย่างอื่น ใช้เงินอยู่กินให้พ้นไปวันๆ ยังดีกว่า

ลองหันกลับมามองตัวคุณดูว่า 1 ใน 10 ข้อนี้ คุณคิดแบบไหนบ้าง ??
ลองเปลี่ยนมุมมองความคิด ให้ไปในทางบวก คิดให้มีความสุข และมันจะช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีทั้งสุขและทรัพย์เลยนะ
Read more ...

เยี่ยงฮีโร่ ! ‘หมา’ จรจัดสุดซื่อ ชนะใจทีมนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมสวีเดน

27 พ.ย. 2557





โดยไทยรัฐ ข่าวต่างประเทศ 25 พ.ย. 2557 16:21

สุนัขจรจัดในเอกวาดอร์...ได้รับการต้อนรับเยี่ยง ‘ฮีโร่’ ในสวีเดน หลังสร้างความประทับใจสุดๆ ให้แก่ทีมนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมของสวีเดน ที่เดินทางไปแข่งขันที่เอกวาดอร์ จนต้องพามันกลับมาด้วย

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. เดอะ มิร์เรอร์ รายงานเรื่องราวที่น่าประทับใจของสุนัขจรจัดตัวหนึ่งในประเทศเอกวาดอร์ ที่มีต่อทีมนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมสวีเดน ชาย 3 หญิง 1 เป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นความซื่อสัตย์ จงรักภักดีของมันที่เฝ้าติดตามไปทุกที่ระหว่างการแข่งขัน หลังจากได้กินลูกชิ้นเนื้อเพียงไม่กี่ลูก

ทีมนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมจากสวีเดน เล่าว่า พวกเขาทั้ง 4 คนได้เดินทางมาแข่งขันกีฬาเอ็กซ์ตรีมสุดผจญภัยระดับโลก ‘Adventure Racing World Championship’ ในเอกวาดอร์ ประเทศในอเมริกาใต้ และระหว่างการแข่งขัน ได้เจอกับสุนัขจรจัด เพศผู้ตัวหนึ่ง และตั้งชื่อมันว่า ‘คริสตีน อาร์เธอร์’ โดยไมเคิล ลอนด์นอร์ด หนึ่งในสมาชิกของทีม เล่าให้นักข่าวฟังว่า เขาได้สังเกต และเห็นความหิวโซซ่อนอยู่ในแววตาของเจ้าอาร์เธอร์ จึงให้ลูกช้ินเนื้อมันไปลูกหนึ่ง และคิดว่าจะให้แค่ลูกเดียวเท่านั้น

แต่หลังจากได้กินลูกชิ้นเนื้อไปลูกเดียว อาร์เธอร์กลับเฝ้าติดตามพวกเขาไปทุกที่ เป็นระยะทางรวมแล้วถึง 430 ไมล์ แม้แต่การไต่เขา กลางป่าดงดิบ ที่พื้นมีแต่โคลน โดยเฉพาะการแข่งขันกีฬารายการรองสุดท้าย คือต้องพายเรือคยัค ระยะทางถึง 36 ไมล์ โดยทางผู้จัดการแข่งขันเตือนกับทีมของตนว่า ไม่สามารถพาอาร์เธอร์ไปด้วย เพื่อความปลอดภัยของมันเอง แต่ขณะที่พวกเขาขึ้นเรือและพายเรือคยัคออกจากฝั่ง เจ้าอาร์เธอร์ก็กระโดดลงน้ำว่ายตามทันที จนทำให้ไมเคิล บังคับให้เพื่อนร่วมทีม พายเรือกลับไปรับมันขึ้นเรือมาด้วย

สำหรับการแข่งขันกีฬาผจญภัยเอ็กซ์ตรีมท้าทายสุดๆ ครั้งนี้ มีทั้งไต่เขา ปีนหน้าผา ขี่จักรยานขึ้นเขา และพายเรือคยัค โดยใช้เวลาแข่งขันหลายวัน อีกทั้งยังแข่งขันในภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ทั้งภูเขาแอนเดส, มหาสมุทรแปซิฟิก และป่าดงดิบอเมซอน

และเมื่อทีมนักกีฬาสวีเดนทีมนี้เข้าสู่เส้นชัย พวกเขาได้มีความประทับใจเจ้าอาร์เธอร์มาก จึงตัดสินใจที่จะพามันกลับไปยังสวีเดนด้วย ขณะเดียวกัน ก็เห็นว่าระหว่างที่มันร่วมผจญภัยไปกับพวกเขา ทำให้มันได้รับบาดเจ็บ มีแผลลึกที่หลัง จึงรีบพาไปหาสัตวแพทย์ พร้อมกับขอใบรับรองจากสัตวแพทย์ เพื่อพามันขึ้นเครื่องบินกลับไปยังประเทศสวีเดนด้วย

ข่าวแจ้งว่า ทันทีที่ทีมนักกีฬา ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยาน Arlanda ในกรุงสตอกโฮล์ม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าอาร์เธอร์ ได้รับการต้อนรับราวกับเป็น ‘ฮีโร่’ เลยทีเดียว ‘มันไม่ใช่หมาที่สวย แต่การพบกันในครั้งนี้ เป็นเพียงโอกาสไม่กี่ครั้งในชีวิต ผมมาเอกวาดอร์เพื่อหวังชัยชนะในการแข่งขันเวิลด์ แชมเปียนชิพ แต่ผมกลับได้เพื่อนใหม่มาแทน’ ไมเคิล กล่าวด้วยความประทับใจที่มีต่อสุนัขจรจัดที่กลายเป็นมิตรแท้ของเขาในที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก เดอะ มิร์เรอร์
Read more ...

4 ข้อปฏิบัติ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในที่ทำงาน

24 พ.ย. 2557
ที่มา : http://www.businessinsider.com/

การทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ในแค่ละครั้งต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งหลายคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วนั้นมีวิธีจัดการหรือข้อปฏิบัติเด่นๆ 4 ข้อ ที่ง่ายๆ ทุกคนสามารถทำได้ ดังนี้

1. หาแรงจูงใจให้ตัวเอง 
ถ้าคุณกำลังรอให้มีคนคอยผลักดันคุณให้ไปถึงจัดหมายที่คุณตั้งไว้ คุณก็จะไม่มีทางไปถึงจุดหมายนั้นได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใครช่วยเราไม่ได้เราไม่สน สิ่งแรกที่ควรทำคือผลักดันตัวเองก่อน ยิ่งพึ่งพาตัวเองมากเท่าไหร่ ก็สามารถขยายขอบเขตความสามารถของตัวเองมากตามไปด้วย ทำให้คุณยิ่งเป็นคนมีคุณภาพมากขึ้น กลายเป็นลูกจ้างที่มีคุณภาพตามมา

2. ติดตามความก้าวหน้าของชิ้นงานที่ได้รับมอบหมาย
ไม่ว่างานที่ได้รับมอบหมายมานั้นเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คนทำงานต้องมีคือความรับผิดชอบต่องานที่ตัวเองได้รับมา อีกทั้งยังต้องรับมือกับเพื่อนร่วมงานบางประเภทที่ชอบเกี่ยงงาน และทำให้คุณต้องหงุดหงิด อย่างไรก็ตามขอแค่มุ่งมั่นทำงานที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จ เพื่อแสดงให้นายจ้างเห็นว่าคุณเป็นลูกน้องที่ทรงคุณค่ามากแค่ไหน

3. ตั้งเป้าหมาย
คนที่เขาประสบความสำเร็จในการทำงานส่วนใหญ่ เขามีวิธีการจัดเรียงลำดับความสำคัญในการทำงานว่าสิ่งไหนควรมาก่อนและหลัง เพราะถ้าไม่จัดลำดับอาจทำให้งานทั้งหมดยุ่งเหยิง แทนที่งานจะเสร็จเร็ว กลายเป็นล่าช้าไม่เสร็จซักงาน

4. ทบทวนสิ่งที่ทำในแต่ละวัน
หลังเลิกงานหรือกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว นั่งทบทวนสิ่งที่ทำในวันนี้ว่า งานที่ทำนั้นเสร็จสิ้นความเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ และตั้งเป้าใหม่ว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร โดยการนำเอาข้อปิดพลาดที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมาเป็นบทเรียน
Read more ...

แนวคิดดี ๆ

24 พ.ย. 2557
1. อะไรก็ตาม ถ้าได้มาแล้ว รู้จักรักษา เชื่อว่าสิ่งนั้นๆ จะอยู่กับเรา ได้นานเสมอ

2. "คนเก็บขยะ" คือ คนที่เสียสละ เอาตัวเข้าไปแลกกับ ของเหม็นเน่า เพื่อเอาไปทิ้ง โลกนี้น่าอยู่ ก็เพราะพวกเขานะ

3. ถ้ายังไม่ปล่อยมือ จากอดีต แล้วจะเอามือไหน ไปคว้าอนาคต

4. อย่าใช้เวลาทั้งชีวิต หาเงิน

จงใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิต หาเงิน เพื่อใช้ตลอดชีวิต

5. จงอย่า อิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิต ให้คนอื่น อิจฉา

6. บางครั้ง สิ่งที่เราเห็น อาจจะ ไม่เป็นอย่างที่เราคิด ฉะนั้น อย่าตัดสินคนอื่นจาก ความรู้สึกส่วนตัว

7. ถ้าคุณตกหลุมรัก คนสองคน ในเวลาเดียวกัน จงเลือกคนที่สอง เพราะถ้าคุณรักคนแรก คุณจะไม่มีคนที่สอง อย่างแน่นอน

8. อย่าตกเป็นทาสของ กฏเกณฑ์

นั่นคือ การใช้ชีวิต ตามความคิด ของคนอื่น อย่าปล่อยให้ เสียงของคนอื่น ดังกลบเสียงหัวใจ ของเราเอง

9. คนที่มีความคิด เป็นเถ้าแก่

จบป.4 ก็เป็นเถ้าแก่ได้

คนที่จบปริญญาโท แต่คิดจะเป็นลูกจ้าง มันก็คือลูกจ้าง ทั้งชีวิต

10. สติ ทำให้เรื่องใหญ่ กลายเป็นเรื่องเล็ก

อคติ ทำให้เรื่องเล็ก กลายเป็นเรื่องใหญ่

11. ความสุข แม้จะอยู่กับเราได้ ไม่นาน แต่ความทรงจำที่ดี จะอยู่กับเราตลอดไป

12. ไม่จำเป็นต้องทำตัว ให้ใครชมว่าดี แค่รู้ว่าจิตสำนึก ที่เรามีมันดีก็พอแล้ว

13. หากพอมีกำลัง อย่าไปหวังพึ่งใคร ต่อหน้านั้นคือน้ำใจ ลับหลังไปคือ หนี้บุญคุณ

14. ร้องไห้ เอาชนะใจคนได้ บางคน แต่ยิ้มแย้ม เอาชนะใจคนได้ เกือบทั้งโลก

15. คุณอาจจะต้อง ทำความรู้จัก กับคนนับร้อย กว่าจะได้พบ เพื่อนแท้เพียงไม่กี่คน

16. อยู่ต่ำให้มองสูง อยู่สูงให้มองต่ำ

17. หนามแหลมคม ไม่ต้องเสี้ยม คนแหลมคม ไม่ต้องสอน

18. ไม่พูดไม่ได้ แปลว่าไม่รู้ เงียบไม่ได้แปลว่าโง่ แต่ฉลาดพอที่จะนิ่ง

19. ถ้าเรา วิ่งหนีปัญหาไม่พ้น ก็ลองวิ่งชน มันดูสักครั้ง

20. คนเรา ไม่วางแผนที่ยาวไกล ความทุกข์จะเกิดขึ้น ในไม่ช้า

21. อย่ากลัว การเริ่มต้นใหม่ และอย่าแคร์ สายตาใคร ตราบใดที่เรา ยังหายใจ ด้วยจมูกของเราเอง

22. คนอื่น ไม่ให้โอกาสเรา ยังไม่น่าเศร้า เท่ากับเรา ไม่ให้โอกาสตัวเอง

23. กระจก ไม่เคยดูถูกใคร มีแต่คนที่ไม่มั่นใจ ที่ดูถูกตัวเอง

24. คนฉลาด ไม่ใช่ผู้ที่ ชนะการโต้แย้ง แต่คนฉลาด คือผู้ที่ออกห่างจาก การโต้แย้ง ตั้งแต่เริ่มต้น

25. คนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่า คือ คนที่ได้ทำ ในสิ่งที่อยากทำ ไม่ใช่เพราะได้ทำ ในสิ่งที่ คนอื่นอยากให้ทำ

26. อย่าเป็นคนเก่ง ที่แล้งน้ำใจ แต่จงเป็น คนธรรมดาทั่วไป ที่มีน้ำใจ และไม่เห็นแก่ตัว

27. มองปัญหา ให้เหมือนกับ เม็ดทราย ถึงจะเยอะมากมาย แต่เม็ดทราย ก็เล็กนิดเดียว

28. ไม่มีใครดีเลิศหรือ เพอร์เฟค หรอก เพราะขนาดดินสอ ยังต้องมียางลบ

29. ใครจะดูถูกเรา ก็ปล่อยให้เค้าดูถูกไป แต่จงท่องให้ขึ้นใจว่า เราจะไม่ดูถูกตัวเอง
Read more ...

ซีรีส์ความเป็นไทย

17 พ.ย. 2557
โดย กานดา นาคน้อย เมื่อ พ.ย.2557

ลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสยุคพระนารายณ์บันทึกไว้ว่า

1. ชาวสยามพูดปดเก่ง" "มิตรภาพของชาวสยามไว้ใจไม่ได้" และ "ชาวสยามจะไม่ปฏิเสธการลักขโมยเลยเมื่อมีโอกาส"

2. บันทึกความดีของขุนนางสยามไว้ว่า "เมื่อครั้งพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทรงจัดให้คณะทูตสยามเดินทางไปมณฑลฟรานเดอร์ ขุนนางสยามผู้หนึ่ง ได้ฉกฉวยเอาเบี้ยในบ้านคณะทูตที่ได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงอาหารค่ำไปประมาณ 20 อัน"

3. "การจำแนกราษฎรกับพระภิกษุสงฆ์เป็นแต่เพียงผิวเผิน เพราะจะบวชหรือจะสึกเมื่อใดก็ได้ "

4. "คนสยามได้ชื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์มาก ถึงขนาดลงมือช่วยเมื่อพบมันเจ็บป่วย แต่ยากนักที่จะให้เอื้อเฟื้อจุนเจือแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน "

5. "คนสยามนั้นยอมขายความเป็นไทของตนเพื่อบริโภคทุเรียนก็ยังได้"

6. "เจ้าเมืองทั้งหลายดำเนินการค้าทุกหนแห่ง แต่ทำในนามทนายหน้าหอของตน"

7. "พระนักเทศน์นั้น ถ้าได้เทศน์บ่อยๆ ก็กลายเป็นคนร่ำรวยไปได้"

8. "ชาวสยามมีความยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีเท่าๆกับความเกียจคร้าน" "ชาวสยามมีความอดกลั้นมากกว่าเราเพราะเกียจคร้านกว่า เขาจะยอมเคลื่อนไหวลงมือทำการงานก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ"

9. "ชาวสยามเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยน มีสัมมาคารวะ ใจเย็น แต่เมื่อความโกรธลุกโพลงขึ้นมาแล้วดูเหมือนจะมีความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่าพวกเรา และแนวโน้มในการกล่าวเท็จจะทวีขึ้นในกมลสันดาน"

10. "ชาวสยามมีความพยาบาทรุนแรง ปกติชาวสยามรังเกียจการเลือดตกยางออก แต่เมื่อเกลียดชังใครอย่างหมายเอาชีวิตแล้วก็จะฆ่าหรือวางยาพิษให้ตาย"

11. "ขุนนางสยามหวงลูกสาวเท่ากับหวงภรรยา ถ้าลูกสาวคนใดทำชั่ว ผู้เป็นพ่อก็จะขายลูกสาวให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งมีความชอบธรรมที่จะเกณฑ์ให้ผู้หญิงที่ตนซื้อมาเป็นหญิงแพศยาหาเงินได้โดยชายผู้นั้นต้องเสียภาษี กล่าวกันว่าชายผู้นี้มีหญิงโสเภณีอยู่ในปกครองถึง 600 คน ล้วนเป็นลูกขุนนาง"

12. "คนพื้นเมืองชาวสยามนั้นฉิบหายป่นปี้แล้วด้วยภาษีอากร และการเข้าเดือนรับราชการ จึงไม่สามารถที่จะทำการค้าที่ใหญ่โตได้"

13. "สติปัญญาอันฉับไวของชาวสยาม น่าจะเหมาะมากในการเรียนวิชาคำนวณยิ่งกว่าศาสตร์ชนิดอื่นๆ ถ้าเขาไม่เบื่อเร็วนัก" "ชาวสยามไม่มีความรู้ในวิชาเรขาคณิตเลย และไม่รู้ในวิชากลศาสตร์ วิชาดาราศาสตร์ก็ใช้ในเชิงพยากรณ์ได้เท่านั้น"

14.  "ชาวสยามเป็นโรคหลายชนิดที่อาการแปลก เชื่อกันว่าเนื่องจากถูกเวทย์มนตร์คุณไสย" และ"ชาวสยามเชื่อว่ายังมีศาสตร์แห่งการพยากรณ์ เชื่อว่าอาถรรพเวทย์เสกเป่าให้คนไข้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้"

15. "ชาวสยามรักการเล่นการพนันมากจนฉิบหายขายตนหรือไม่ก็ขายบุตรธิดาของตน"

16. การใช้ชีวิตตามปกติของชาวสยาม  ชายชาวสยามรักลูกเมียมาก  ในระหว่างที่พวกผู้ชายถูกเกณฑ์ไปเข้าเวรยาม มีกำหนดหกเดือนนั้นในทุกปีนั้น เป็นภาระของภรรยา มารดา และธิดา เป็นผู้

หาอาหารไปส่งให้ และเมื่อพ้นเกณฑ์แล้วกลับมาอยู่บ้าน ผู้ชายส่วนมากก็ไม่ทำงานอะไรเป็นล่ำเป็นสัน ชีวิตตามปกติของชาวสยามเป็นไปด้วยความเกียจคร้าน ไม่เที่ยวล่าสัตว์ ได้แต่นั่งเอนหลัง กิน เล่น สูบบุหรี่ แล้วก็นอนไปวัน ๆ  ภรรยาจะปลุกให้เขาตื่นประมาณเจ็ดโมงเช้า เอาอาหารมาให้กิน เสร็จแล้วก็นอนใหม่ พอเที่ยงก็ลุกมากินอีก แล้วเอนหลังใหม่ จนกินอาหารมื้อเย็น  เวลาที่เหลืออยู่นอกนั้นจะหมดไปด้วยการพูดคุย และเล่นการพนัน พวกภรรยาไปไถนา ไปซื้อขายของในเมือง

17. ชาวสยามไม่เหมาะที่จะเรียนวิชาอย่างคร่ำเคร่ง  วิชาต่าง ๆ ที่สอนกันในวิทยาลัยของเรานั้น เกือบจะไม่เป็นที่รู้จักกันในชาวสยาม

18. มิตรภาพของชาวสยามไว้ใจไม่ได้ วิธีทำสัตย์ว่าจะเป็นมิตรต่อกันตลอดปี ทำด้วยการดื่มเหล้าโรงในจอกเดียวกัน แต่ถ้าจะให้หนักแน่นก็จะต้องดื่มเลือดซึ่งกันและกัน แต่กระนั้นก็ยังไม่วายที่จะพยศกัน

19. การชำระความกว่าจะแล้วก็ช้ามาก  ไม่ว่าคดีเรื่องใด ความจะแล้วได้ภายใน ๓ วัน แต่บางเรื่องถึง ๓ ปี ก็มี
Read more ...

Mark Zuckerberg ใส่แต่เสื้อตัวเดิมตลอดเพราะ

16 พ.ย. 2557
โดยโพสต์จัง เมื่อ 17 พ.ย.2557

เคยสงสัยกันไหมว่า เวลาที่เราได้อ่านหรือเห็นภาพข่าวของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งและซีอีโอเฟซบุ๊ก ตามสื่อต่างๆ ทำไมเค้าถึงใส่แต่เสื้อยืดสีเทาตัวเดิม? อยากรู้มาดูกันเลย
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Facebook ได้จัดกิจกรรมตอบคำถามคาใจสาธารณะชนครั้งแรก ซึ่งหนึ่งในคำถามที่หลายคนข้องใจและสนใจมากที่สุดก็คือ ‘ทำไมเขาถึงใส่เสื้อยืดเหมือนกันทุกวัน?’

งานนี้ Mark Zuckerberg ก็ได้บอกแบบชัดเจนเลยว่า เขาคิดว่าการเลือกเสื้อผ้าหรืออาหารเช้านั้น เป็นการตัดสินใจในเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมซึ่งเขาไม่อยากจะเสียเวลาไปกับมันมากมายนัก เพราะในแต่ละวันเขามีเรื่องสำคัญให้คิดและตัดสินใจมากกว่าเรื่องพวกนี้ และเขาเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการดูแลโซเชียลเน็ตเวิร์กระดับโลกอย่างเฟซบุ๊กมากกว่า‘ผมต้องการเคลียร์ชีวิตตัวเองให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ ยกเว้นเรื่องการให้บริการชุมชนนี้ให้ดีที่สุด ‘

นอกจากนี้ Mark Zuckerberg ยังได้บอกอีกว่า ‘ผมอยู่ในตำแหน่งที่โชคดีจริงๆ ที่สามารถตื่นขึ้นมาในทุกๆวัน โดยได้ช่วยดูแลผู้คนกว่า 1 พันล้านคน และผมรู้สึกว่าผมจะไม่สามารถทำงานนี้ได้ ถ้าต้องเสียพลังงานไปกับเรื่องไร้สาระหรือเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ‘

ทีนี้ก็คงจะคลายข้อสงสัยของใครหลายๆคนเกี่ยวกับการสวมเสื้อยืดสีเทาของเค้าแล้วล่ะนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเค้ามีแนวคิดกันแบบนี้นะเนี๊ยะ
Read more ...

10 ข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง กับ คนจน

11 พ.ย. 2557
ที่มา http://spairoj.blogspot.com/2013/05/v-behaviorurldefaultvmlo.html

10 ข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย / คนชั้นกลาง / คนจน
   
ผมได้อ่านเจอบทความๆหนึ่งจากหน้าบล๊อกของคุณ Meaw-ie เมื่อลองอ่านดูแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์ดีมากๆ จึงขออนุญาตินำข้อความทั้งหมดมาแชร์ลงในบล๊อกตัวเองบ้าง ตั้งใจให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกันดูนะครับ แล้วลองสำรวจดูตัวเราเองว่าจริงๆแล้วเราเป็นคนประเภทไหน ...

ข้อ 1.
เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็น เวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อ 2.
คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มี แนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อ 3
คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่ มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อ 4
คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถ สร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความ ผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้ม ค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อ 5
คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำ ไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อ 6
คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อย กว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อ 7
คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อย บอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อ 8
คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนใน ทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อ 9
คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขา จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

ข้อ 10
คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?
Read more ...

เด็กน้อยไร้เดียงสาอายุ 8 ขวบ ก่อตั้งชมรมช่วยเหลือสัตว์ได้สำเร็จ

6 พ.ย. 2557



ต.ค.2557

เคน หนูน้อยวัย 8 ขวบ ผู้ก่อตั้งชมรมช่วยเหลือสัตว์

เรื่องอันแสนน่าประทับใจนี้เกิดขึ้นเมื่อเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ‘เคน’ ผู้มีใจเมตตา รู้สึกสงสารลูกหมาน้อยจรจัด 3 ตัว ที่ไม่มีใครดูแล

เคนรู้สึกอยากช่วยเหลือลูกหมาเหล่านั้นมากจึงได้ทำเว็บไซต์ขึ้นและวาดโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อหาแนวร่วมในการช่วยเหลือสัตว์ที่น่าสงสาร

และปิดประกาศตามพื้นที่ในหมู่บ้าน แต่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ แต่หนูน้อยไม่ยอมแพ้และเดินหน้าโครงการต่อเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านี้

เคนจึงขอให้พ่อช่วยเรื่องนี้ แต่พ่อของเคนบอกกับเขาว่าการสร้างบ้านพักให้สัตว์เหล่านี้ต้องใช้เงินมหาศาล และต้องรออีก 20 ปี จึงจะสร้างได้ เพราะมีแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะหาเงินมากขนาดนั้นมาสร้างบ้านให้สัตว์เหล่านี้ได้

เมื่อเคนพูดถึงเรื่องนี้บ่อยเข้า พ่อของเคนเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ โดยลงโทษโดยการไม่ซื้อหนังสือให้ทั้งเดือน และห้ามไม่ให้เขาพูดถึงเรื่องการสร้างบ้านให้สัตว์จรจัดอีก

สิ่งที่เคนทำได้ คือ เดินออกจากบ้านและเอาอาหารไปให้ลูกหมา 3 ตัวนั้นกินทุกวัน

พ่อของเคนสงสัยว่าลูกชายของเขาแอบไปทำอะไรทุกวันจึงตามไปดู ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของเขารู้สึกมีความสุขและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน

เมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาเดินทางเพื่อนำอาหารมาให้สุนัขจรจัดที่น่าสงสารเหล่านี้

ลูกหมาหิวโซ และเป็นเรื้อนเพราะขาดการดูแล

แม้ว่าลูกสุนัขเหล่านี้จะกลัวคน แต่มันก็รับรู้ได้ว่ามีบางคนที่รักมัน

พ่อของเคนจึงโพสต์ภาพเหล่านี้ในเว็บไซต์ reddit.com (เหมือนพันทิพบ้านเรา) และเรื่องนี้ได้กระจายออกไป
มีคนใจดีช่วยบริจาคเงินช่วยเหลือสุนัขเหล่านี้

เงินบริจาคที่ได้รับยังมากพอสำหรับการสร้างที่อยู่ให้เหล่าสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านี้ได้อาศัย
เคนได้เช่าพื้นที่ 1000 ตารางเมตรเป็นเวลาหนึ่้งปีด้วยเงินบริจาคประมาณ 47,500 บาท และสร้างเป็น Happy Animals Club สมกับที่เค้าได้ตั้งใจไว้

จากสุนัขที่คอยกินอาหารอยู่ตามข้างทาง ตอนนี้สุนัขได้กินอาหารกระป๋องคุณภาพดีที่อุดมด้วยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับสุนัขที่ขาดสารอาหาร ซึ่งมีราคาแพงมากในฟิลิปปินส์

อีกทั้งยังได้รับการรักษาจากสัตวแพทย์ ฉีดวัคซีนและอาบน้ำให้ จนตอนนี้อ้วนกลม ขนสวยเงางามเลยทีเดียว

Happy Animals Club ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมายทั่วโลก

นักเรียนเอกสาขาวิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้รวบรวมเงินบริจาคให้แก่ Happy Animals Club

หนึ่งในนั้นยังมีทหารอเมริกันที่รับใช้ชาติอยู่ที่อัฟกานิสถาน บริจาคเงินให้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่หมาของเขาทื่เพิ่งตายไปด้วยอายุ 14 ขวบ แม้แต่คนที่เผชิญกับความยากลำบากในสนามรบยังยอมเสียสละเพื่อช่วยเหลือ Happy Animals Club ได้

ชาวฟิลิปปินส์อพยพที่อาศัยอยู่ในแคนาดาก็ยังส่งเงินสนับสนุน Happy Animals Club มาให้

ศิลปินสาววัยรุ่นชาวอังกฤษชื่อบิลลี่ส่งเงินสนับสนุนจำนวนมากให้พร้อมทั้งวาดรูปเคนและหมาทั้งสามตัวของเขาให้เป็นของขวัญอีกด้วย

น่าเหลือเชื่อเหลือเกินว่าเพียงแค่ความเมตตาสัตว์และหัวใจที่อยากจะช่วยเหลือสัตว์โลกของ ‘เคน’ เด็กน้อยไร้เดียงสาเช่นนี้ จะเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

ที่มา: HappyAnimalsClub
Read more ...

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget