โดย บิสิเนสไทย [6-11-2007]
เปิดมุมมองนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่
กมล เอี้ยวศิวิกูล ,
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ และ
อ.วิกรม เกษมวุฒิ
กับวิธีคิดและกลยุทธ์การลงทุนใน "หุ้น" เพื่อต่อยอดสู่ความมั่งคั่ง แนะคนที่อยากเป็น "ผู้ชนะ" ขนเงินสดออกจากตลาดหุ้นได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ติดตามและอ่านข่าวสารเยอะ ๆ ที่สำคัญการลงทุนแต่ละครั้งอย่าแห่ตามกระแส และต้องมี "เงินสด" ติดมือไว้เสมอ
ทันทีที่ร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากประกาศใช้ "ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน" ประเมิณว่า จะเกิดการโยกย้ายเม็ดเงินจากธนาคารพาณิชย์ในรูปของ "บัญชีเงินฝาก" สู่ "ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ" ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
และในบรรดาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ว่านั้น "หุ้น" มักจะถูกจัดชั้นให้เป็น "สินค้า" อันดับต้น ๆ ที่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในอัตราการที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งนักวิเคราะห์ออกมาฟันธงว่า จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทย "บูม" สุดขีด !!!
แต่บนความ "มั่งคั่ง" จากการลงทุนในหุ้นที่สะท้อนออกมาเป็น "ผลกำไร" กลับมี "ความเสี่ยง" แฝงอยู่เช่นกัน จนเกิดสมการว่า "ยิ่งผลตอบแทนมาก ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากเช่นกัน"
ดังนั้นคำตอบแรกที่เหล่าบรรดา "เซียนหุ้น" แนะนำให้กับนักลงทุนที่ตัดสินใจ "กำเงินสด" เข้ามาแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นก็คือ ความมี "สติ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาอย่างโชคโชนของ "นายกมล เอี้ยวศิวิกูล" ผู้บริหารธุรกิจในกลุ่มไมด้า อาทิ ไมดด้า แอสเซ็ท ,ไมด้า ลิสซิ่ง , ไมด้าเมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ ซึ่งเขาเคย "กำไร" และ "ขาดทุน" มาแล้ว เล่นกับความเสี่ยงมาเกือบทุกประเภท "นายกมล" จึงมองว่า ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวแทนของ "ความแกร่ง" และ "เฟื่องฟู" ทางเศรษฐกิจของประเทศว่าเป็นแหล่งที่สร้างกำไรได้อย่างงาม แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่พร้อมจะเปลี่ยนให้เป็นความเจ็บปวดแก่นักลงทุน
ดังนั้นนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น "เซียนหุ้นผู้นี้" แนะนำว่า จะต้องยอมรับในความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากราคาหุ้นได้ทุกวัน ซึ่งการทำใจกับผลขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และการพอใจกับกำไรที่ได้ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลงสนาม
"คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องยอมรับกับผลกำไรและการขาดทุนเช่นกัน และในเวลาเดียวกันจะต้องพร้อมที่จะยอมรับในความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ" นายกมล บอกไว้เช่นนั้น
ทั้งนี้ การลงสนามแต่ละครั้ง นักลงทุนจะต้องติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะต้องอ่านบทวิเคราะห์ที่นักวิเคราะห์แต่ละสำนักทำออกมาอย่างละเอียด เพราะนั่นหมายถึง กุญแจสำคัญที่จะนำพาให้เราเดินทางไปสู่คำว่า "สำเร็จ" ที่มี "กำไร" เป็นเดิมพัน
นอกจากนี้ การเฝ้าและติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างใกล้ชิด ก็เป็นสิ่งที่ "นายกมล" ย้ำแก่นักลงทุนทั้ง "หน้าใหม่" และ "หน้าเก่า" ด้วยเช่นกัน
"เมื่อเราได้ผลประกอบการมาแล้ว เราก็นำข้อมูลมาเปรียบเทียบดูความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัว เพื่อเฟ้นหาหุ้นทำเงินระดับหัวกะทิเก็บเข้าพอร์ต"
ไม่เพียงเท่านั้น กฏของการลงทุนอีกข้อหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามก็คือ จะต้องไม่แห่ตามกระแส เพราะราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นเร็ว อาจจะเกิดจากการสร้างราคา
เช่นเดียวกับ "อ.วิกรม เกษมวุฒิ" ผู้เขียนหนังสือ "นักลงทุนผู้ชาญฉลาด" ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในตลาดหุ้นมาอย่างโชกโชนกว่า 30 ปี ให้เคล็ดวิชาในการเฟ้นหาหุ้นทำเงินระดับหัวกะทิว่า ก่อนลงสนาม นักลงทุนจะต้องอ่านข่าว และดูบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่นำออกมาเผยแพร่ เพื่อจะได้รู้ถึงสาเหตุของการขึ้นลงของราคาหุ้น
"ยิ่งเราดูบทวิเคราะห์หลายสำนักก็ยิ่งทำให้เรารอบรู้ ซึ่งการอ่านเราไม่จำเป็นต้องเชื่อบทวิเคราะห์ทั้งหมด เพราะอย่างที่บอก เราต้องรู้จริงในบริษัทที่เราจะเข้าไปลงทุน" อ.วิกรม กล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น "อ.วิกรม" ยังบอกว่า ความสำเร็จจากการลงทุนจะต้องมาจากการเลือกซื้อหุ้นที่ดี จำนวนน้อยตัว และเมื่อมั่นใจกับหุ้นดังกล่าว ก็จะซื้อเป็นจำนวนมาก ๆ แล้วถือยาวเท่านั้นพอ ซึ่งเป็นสูตรเดียวกันกับ "วอร์เร็น บัฟเฟทท์" ผู้ที่ร่ำรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้นนิยมใช้
"ส่วนตัวจะเลือกซื้อหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน สินค้าขายได้ดี มีกำไร ที่สำคัญผลตอบแทนต่อส่วนของผู้หุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 12%" อ.วิกรม กล่าว
นอกจากนี้ นักลงทุนจะต้องดูและศึกษาผู้บริหารของบริษัทนั้น ๆ ด้วยว่าเก่งหรือไม่เก่ง มีความโปร่งใสในการบริหารงานหรือไม่ ซึ่งวิธีการดูว่าผู้บริหารเก่งหรือไม่นั้น "อ.วิกรม" บอกว่า ดูง่ายมาก คือ ดูที่ฝีมือ การวางเป้าหมายและกลยุทธ์ หลักการบริหารองค์กร ซึ่งจะเป็นที่มาของรายได้และกำไร
"ผู้นำองค์กรที่ดี จะไม่พูดมาก จะไม่สัมภาษณ์ออกสื่อบ่อยเกินไป แต่จะมุ่งทำงานเพียงอย่างเดียว"
ที่สำคัญของการเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น "สภาพจิตใจ" และ "จังหวะ" ซื้อและขายหุ้นก็จะต้องมีด้วย หากถามว่าแล้วเมื่อไร ถึงจะขาย คำตอบที่ได้คือ เวลาที่เราเห็นว่าราคาหุ้นตัวนี้ พุ่งสูงขึ้น เราก็จะต้องมีการ "ขาย" บางส่วนออกมาบ้าง เพื่อถือเงินสด แล้วนำเงินส่วนนั้นมาซื้อหุ้นตัวอื่น
สอดรับกับ "ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บล.เอเซียพลัส ที่มองว่า เมื่อใดที่ความผันผวนเกิดขึ้นในตลาด ก็อยากให้นักลงทุนมองว่าเป็นโอกาสในการแสวงหา "กำไร" จากการขึ้นลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ "จังหวะ" หรือ Timing
ก่อนหน้านี้ "ดร.ก้องเกียรติ" พูดอยู่เสมอว่า การลงทุนในตลาดหุ้นแต่ละครั้ง นักลงทุนจะต้องยอมรับความจริงให้ได้ กล่าวคือ ถ้าแทงหุ้นผิด ก็จะต้องระงับการขาดทุน โดยวิธี Cut Loss อย่าปล่อยให้ "ขาดทุน" ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ามั่นใจก็ "ซื้อ" และ "ถือยาว" ที่สำคัญต้องรู้ "จังหวะ" ในการเข้าและออกจากตลาดหุ้นด้วย เพราะนั่นหมายถึง "ผลกำไร" ที่จะตามมา
เขาย้ำว่า หุ้นที่จะสร้างกำไรจะต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้น สังเกตุง่าย ๆ คือ ดูจากยอดขาย ที่จะต้องมีอัตราการเติบโตที่สูงและมีโอกาสเพิ่มขึ้นของ "ส่วนแบ่งตลาด" หรือ "มาร์เก็ตแชร์"
ที่สำคัญ หุ้นที่ดีจะต้องมี "จุดแข็ง" เหนือกว่า "คู่แข่ง และเมื่อมั่นใจก็ "ซื้อ"
นี่จึงเป็นคำแนะนำของ "เซียนหุ้น" ระดับประเทศกับวิธีการลงทุนเพื่อต่อยอดสู่ความมั่งคั่ง !!!
เปิดมุมมองนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่
กมล เอี้ยวศิวิกูล ,
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ และ
อ.วิกรม เกษมวุฒิ
กับวิธีคิดและกลยุทธ์การลงทุนใน "หุ้น" เพื่อต่อยอดสู่ความมั่งคั่ง แนะคนที่อยากเป็น "ผู้ชนะ" ขนเงินสดออกจากตลาดหุ้นได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ติดตามและอ่านข่าวสารเยอะ ๆ ที่สำคัญการลงทุนแต่ละครั้งอย่าแห่ตามกระแส และต้องมี "เงินสด" ติดมือไว้เสมอ
ทันทีที่ร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากประกาศใช้ "ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน" ประเมิณว่า จะเกิดการโยกย้ายเม็ดเงินจากธนาคารพาณิชย์ในรูปของ "บัญชีเงินฝาก" สู่ "ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ" ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
และในบรรดาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ว่านั้น "หุ้น" มักจะถูกจัดชั้นให้เป็น "สินค้า" อันดับต้น ๆ ที่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในอัตราการที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งนักวิเคราะห์ออกมาฟันธงว่า จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทย "บูม" สุดขีด !!!
แต่บนความ "มั่งคั่ง" จากการลงทุนในหุ้นที่สะท้อนออกมาเป็น "ผลกำไร" กลับมี "ความเสี่ยง" แฝงอยู่เช่นกัน จนเกิดสมการว่า "ยิ่งผลตอบแทนมาก ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากเช่นกัน"
ดังนั้นคำตอบแรกที่เหล่าบรรดา "เซียนหุ้น" แนะนำให้กับนักลงทุนที่ตัดสินใจ "กำเงินสด" เข้ามาแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นก็คือ ความมี "สติ"
จากประสบการณ์ที่ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาอย่างโชคโชนของ "นายกมล เอี้ยวศิวิกูล" ผู้บริหารธุรกิจในกลุ่มไมด้า อาทิ ไมดด้า แอสเซ็ท ,ไมด้า ลิสซิ่ง , ไมด้าเมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ ซึ่งเขาเคย "กำไร" และ "ขาดทุน" มาแล้ว เล่นกับความเสี่ยงมาเกือบทุกประเภท "นายกมล" จึงมองว่า ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวแทนของ "ความแกร่ง" และ "เฟื่องฟู" ทางเศรษฐกิจของประเทศว่าเป็นแหล่งที่สร้างกำไรได้อย่างงาม แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่พร้อมจะเปลี่ยนให้เป็นความเจ็บปวดแก่นักลงทุน
ดังนั้นนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น "เซียนหุ้นผู้นี้" แนะนำว่า จะต้องยอมรับในความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากราคาหุ้นได้ทุกวัน ซึ่งการทำใจกับผลขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และการพอใจกับกำไรที่ได้ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลงสนาม
"คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องยอมรับกับผลกำไรและการขาดทุนเช่นกัน และในเวลาเดียวกันจะต้องพร้อมที่จะยอมรับในความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ" นายกมล บอกไว้เช่นนั้น
ทั้งนี้ การลงสนามแต่ละครั้ง นักลงทุนจะต้องติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะต้องอ่านบทวิเคราะห์ที่นักวิเคราะห์แต่ละสำนักทำออกมาอย่างละเอียด เพราะนั่นหมายถึง กุญแจสำคัญที่จะนำพาให้เราเดินทางไปสู่คำว่า "สำเร็จ" ที่มี "กำไร" เป็นเดิมพัน
นอกจากนี้ การเฝ้าและติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างใกล้ชิด ก็เป็นสิ่งที่ "นายกมล" ย้ำแก่นักลงทุนทั้ง "หน้าใหม่" และ "หน้าเก่า" ด้วยเช่นกัน
"เมื่อเราได้ผลประกอบการมาแล้ว เราก็นำข้อมูลมาเปรียบเทียบดูความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัว เพื่อเฟ้นหาหุ้นทำเงินระดับหัวกะทิเก็บเข้าพอร์ต"
ไม่เพียงเท่านั้น กฏของการลงทุนอีกข้อหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามก็คือ จะต้องไม่แห่ตามกระแส เพราะราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นเร็ว อาจจะเกิดจากการสร้างราคา
เช่นเดียวกับ "อ.วิกรม เกษมวุฒิ" ผู้เขียนหนังสือ "นักลงทุนผู้ชาญฉลาด" ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในตลาดหุ้นมาอย่างโชกโชนกว่า 30 ปี ให้เคล็ดวิชาในการเฟ้นหาหุ้นทำเงินระดับหัวกะทิว่า ก่อนลงสนาม นักลงทุนจะต้องอ่านข่าว และดูบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่นำออกมาเผยแพร่ เพื่อจะได้รู้ถึงสาเหตุของการขึ้นลงของราคาหุ้น
"ยิ่งเราดูบทวิเคราะห์หลายสำนักก็ยิ่งทำให้เรารอบรู้ ซึ่งการอ่านเราไม่จำเป็นต้องเชื่อบทวิเคราะห์ทั้งหมด เพราะอย่างที่บอก เราต้องรู้จริงในบริษัทที่เราจะเข้าไปลงทุน" อ.วิกรม กล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น "อ.วิกรม" ยังบอกว่า ความสำเร็จจากการลงทุนจะต้องมาจากการเลือกซื้อหุ้นที่ดี จำนวนน้อยตัว และเมื่อมั่นใจกับหุ้นดังกล่าว ก็จะซื้อเป็นจำนวนมาก ๆ แล้วถือยาวเท่านั้นพอ ซึ่งเป็นสูตรเดียวกันกับ "วอร์เร็น บัฟเฟทท์" ผู้ที่ร่ำรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้นนิยมใช้
"ส่วนตัวจะเลือกซื้อหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน สินค้าขายได้ดี มีกำไร ที่สำคัญผลตอบแทนต่อส่วนของผู้หุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 12%" อ.วิกรม กล่าว
นอกจากนี้ นักลงทุนจะต้องดูและศึกษาผู้บริหารของบริษัทนั้น ๆ ด้วยว่าเก่งหรือไม่เก่ง มีความโปร่งใสในการบริหารงานหรือไม่ ซึ่งวิธีการดูว่าผู้บริหารเก่งหรือไม่นั้น "อ.วิกรม" บอกว่า ดูง่ายมาก คือ ดูที่ฝีมือ การวางเป้าหมายและกลยุทธ์ หลักการบริหารองค์กร ซึ่งจะเป็นที่มาของรายได้และกำไร
"ผู้นำองค์กรที่ดี จะไม่พูดมาก จะไม่สัมภาษณ์ออกสื่อบ่อยเกินไป แต่จะมุ่งทำงานเพียงอย่างเดียว"
ที่สำคัญของการเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น "สภาพจิตใจ" และ "จังหวะ" ซื้อและขายหุ้นก็จะต้องมีด้วย หากถามว่าแล้วเมื่อไร ถึงจะขาย คำตอบที่ได้คือ เวลาที่เราเห็นว่าราคาหุ้นตัวนี้ พุ่งสูงขึ้น เราก็จะต้องมีการ "ขาย" บางส่วนออกมาบ้าง เพื่อถือเงินสด แล้วนำเงินส่วนนั้นมาซื้อหุ้นตัวอื่น
สอดรับกับ "ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บล.เอเซียพลัส ที่มองว่า เมื่อใดที่ความผันผวนเกิดขึ้นในตลาด ก็อยากให้นักลงทุนมองว่าเป็นโอกาสในการแสวงหา "กำไร" จากการขึ้นลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ "จังหวะ" หรือ Timing
ก่อนหน้านี้ "ดร.ก้องเกียรติ" พูดอยู่เสมอว่า การลงทุนในตลาดหุ้นแต่ละครั้ง นักลงทุนจะต้องยอมรับความจริงให้ได้ กล่าวคือ ถ้าแทงหุ้นผิด ก็จะต้องระงับการขาดทุน โดยวิธี Cut Loss อย่าปล่อยให้ "ขาดทุน" ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ามั่นใจก็ "ซื้อ" และ "ถือยาว" ที่สำคัญต้องรู้ "จังหวะ" ในการเข้าและออกจากตลาดหุ้นด้วย เพราะนั่นหมายถึง "ผลกำไร" ที่จะตามมา
เขาย้ำว่า หุ้นที่จะสร้างกำไรจะต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้น สังเกตุง่าย ๆ คือ ดูจากยอดขาย ที่จะต้องมีอัตราการเติบโตที่สูงและมีโอกาสเพิ่มขึ้นของ "ส่วนแบ่งตลาด" หรือ "มาร์เก็ตแชร์"
ที่สำคัญ หุ้นที่ดีจะต้องมี "จุดแข็ง" เหนือกว่า "คู่แข่ง และเมื่อมั่นใจก็ "ซื้อ"
นี่จึงเป็นคำแนะนำของ "เซียนหุ้น" ระดับประเทศกับวิธีการลงทุนเพื่อต่อยอดสู่ความมั่งคั่ง !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น