โดย :สิริวรรณ ศรีเพ็ญจันทร์ เมื่อ : 23/07/2007 05:43 PM
ด้วยข้อคิดเห็นที่ว่าการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าของคนในสังคมปัจจุบัน ส่วนใหญ่คำนึงถึงการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศ ตั้งหน้าตั้งตาสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต เพื่อให้ทรัพย์สินเพิ่มพูนมากขึ้น แต่ตลอดชีวิตการทำงานมิได้มีเวลาให้กับตนเองและสังคมรอบข้าง
เราจะเห็นว่าการมีเงินทองมากขึ้น แต่ทำให้ชีวิตครอบครัวล้มเหลว หรือการมีฐานะตำแหน่งที่สูงส่งโดดเด่น แต่ชีวิตกลับเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง หาความสงบสุขไม่ได้ ดังนั้นการหวังแค่ให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตย่อมไม่เพียงพอ และไม่ใช่ปัจจัยสำคัญแห่งชีวิตที่ผาสุก
แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในชีวิตได้ด้วยการกระทำของเราเอง ความเปลี่ยนแปลงที่ดีๆ จะเกิดขึ้นในจิตใจของเราได้ ก็ด้วยการฝึกฝนและหมั่นสร้างคุณภาพใหม่ให้แก่จิตใจอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการทำความดี บ่มเพาะปัญญา และสร้างสรรค์สังคม
พื้นที่เล็กๆ ในห้องสี่เหลี่ยมบนอาคารพุทธมามกะของวัดปทุมคงคา เมื่อ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตและสร้างพื้นที่ทางปัญญา เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นร่วมกัน
ประเด็นพูดคุยเป็นเรื่อง "จุดเปลี่ยนชีวิตกับแนวคิดเพื่อสังคม" ซึ่ง
ปริญญาพร สุทธานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรม ป๋วยเสวนาคาร กล่าวว่า
"เรามองว่าท่ามกลางระบบคุณค่าที่สับสนยุ่งเหยิงอย่างยิ่งของสังคมยุคปัจจุบัน ทำให้คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้ตั้งคำถามกับตัวเอง กับคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รวมทั้งสังคมทั้งระบบว่า อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ ชีวิตมนุษย์มีความหมายหรือไม่? เราต้องมีเป้าหมายในชีวิตที่สูงส่งหรือไม่ ทำอย่างไรเราจึงจะดำรงชีวิตอย่างมีความหมายให้สมศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องหาคำตอบและค้นหากันต่อไป
...ช่วงเวลาที่สังคมมีแต่ความสับสนวุ่นวายนี้ คนรุ่นใหม่จำต้องมีศรัทธาที่มั่นคง และมีความหวังอันแน่วแน่ เพื่อที่จะทำให้เขามีความกล้าหาญทางสติปัญญา และความกล้าหาญทางจริยธรรม ไม่ย่นย่อต่ออุปสรรคที่ขวางกั้นทางแห่งอุดมคติของตน คนเราต้องมีอุดมคติที่จะพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ขึ้น ต้องมีเป้าหมายที่จะทำประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์อย่างเสียสละที่แท้จริง..."
จากตัวอย่างของบุคคลที่มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมระบบบริโภคและทุนนิยม ช่วงเวลาหนึ่งของการดำเนินชีวิตมีบางสิ่งทำให้เกิดจุดเปลี่ยนขึ้น และมองเห็นคุณค่าของตนเองในการอยู่ร่วมกับคนอื่น
แทนคุณ จิตต์อิสระ นักแสดงดาวรุ่งที่หันหลังให้กับวงการมายาในขณะที่กำลังรุ่งโรจน์ เขาเลือกทางเดินชีวิตในวิถีแห่งความสุขที่แท้จริง หลังเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจมากที่สุดในชีวิต ปัจจุบันหันมาสนใจธรรมะ ศาสนาและศิลปวัฒนธรรมมากขึ้น มุ่งมั่นที่จะทำอะไรต่ออะไรหลายอย่าง เช่น โครงการธรรมะการ์ตูนฯ โครงการหนึ่งครอบครัวหนึ่งลูกกตัญญู ฯลฯ
"...หลังจากที่ผมเสียพ่อในปี 2543 วิธีคิดของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีความชัดเจนในชีวิตมากขึ้น มีจุดหมายชีวิตที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยคิดว่าเงินจะทำให้ครอบครัวเรามีความสุข ชื่อเสียงเกียรติยศเงินทองคือความสำเร็จ แต่กลับพบว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เลย การได้มีโอกาสทดแทนคุณพ่อแม่ ทำชีวิตให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม การอยู่กับปัจจุบันให้เกิดสุขที่คุ้มค่าที่สุดต่างหากที่คือสุข เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยใจ..."
แทนคุณ บอกว่าการมี จิตสาธารณะ เป็นการทำเพื่อให้ตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นและสังคมก็ดีขึ้น
"ผมเชื่อว่าชีวิตออกแบบได้ ชีวิตเราเลือกได้ จากมรณะข้ามคืน มาเป็นอัจฉริยะข้ามคืน ได้ทำหลายๆ อย่างที่รักและที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม..."
ปัจจุบัน แทนคุณ ทำงานใหญ่ๆ 3 ด้าน คือ ด้านการศึกษา เขามองว่าการศึกษาที่แท้จริงคือการเสียสละ การขัดเกลาจิตใจตนเอง เอาความเห็นแก่ตัวออกไป อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างไม่เอาเปรียบและอยู่อย่างสมดุล
ด้านการสื่อสาร เป็นการกระจายความรู้ความคิดที่เป็นประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่รับทราบ สุดท้าย คือด้านศาสนา ซึ่งเป็นชีวิตและหัวใจสำคัญ เขามีเป้าหมายพาตัวเองไปสู่ความหลุดพ้น ซึ่งทุกวันนี้เขาตั้งใจอย่างเต็มที่ในการใช้ศาสนาดำเนินชีวิตและช่วยเหลือสังคม
นอกจากนี้ยังมี ปรัชวัน เกตวัลห์ นักวางแผนการตลาดอิสระ เธอไม่ใช่คนมีชื่อเสียงในสังคม แต่การที่เธอเดินทางไปทิเบตสามครั้ง ทำให้บางอย่างในชีวิตเธอเปลี่ยนไป เธอมีใจอยากช่วยเหลือคนทิเบต ไม่ใช่เพราะพวกเขายากจน แต่พวกเขาทำให้เธอเข้าใจชีวิตอีกมุมหนึ่ง
"เมื่อก่อนเราคิดว่าความสุขคือได้ทำงานอย่างที่เราต้องการ หรือเรื่องวัตถุ แต่พอได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ ทำอะไรช้าๆ ทำให้เรามองโลกด้วยสายตาที่เย็นลง ความทุกข์ที่เรามีเทียบไม่ได้กับความทุกข์ที่เขามี เราจึงหันมาทำสิ่งเล็กๆ ที่เราชอบที่เราถนัด แม้จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่เปลี่ยนแปลงตนเองได้"
สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ชายที่บอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ในรายการสารคดีชีวิต "คนค้นฅน" เป็นอีกคนที่มีมุมมองเรื่องนี้ เขาเชื่ออยู่เสมอว่าเมื่อค้นหาจะได้พบกับบางสิ่งที่ไม่เคยรู้จัก บางสิ่งที่รู้จักอาจแตกต่างจากหลายสิ่งที่เคยคิด แต่หลายสิ่งที่คิด อาจมิใช่บางสิ่งที่เคยเข้าใจ
"ผมเชื่อว่ามนุษย์เป็นสีเทา ผมไม่เชื่อเรื่องความสุขตามลำพัง ผมมองว่าสุขอยู่ตามลำพัง สังคมไม่มีวันดีได้ คนดีต้องไม่ดูดายความเดือดร้อนของผู้อื่น คือผมคิดว่าที่ผ่านมาบางคนมีล้นเหลือ บางคนจิตใจดีมาก แต่ดีอยู่ที่บ้าน ดีอยู่โดยลำพัง ไม่ได้ไปเกื้อกูลกับสังคมแม้แต่น้อย มันไม่พอ ผมคิดว่าบทบาทอะไรก็ตามที่มีผลมีส่วนทำให้คนมีความสุขด้วยกัน เป็นสิ่งที่น่าจะทำให้เกิด
ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนการเรียนรู้ใหม่ในบางเรื่อง
ทุกคนในสังคมควรจะเกื้อกูลและเอื้ออาทรกันไป
มนุษย์ควรเติมเต็มกันและกันมากขึ้น"
หากทุกคนในสังคมร่วมกันใช้ชีวิตวันนี้ให้ง่ายและงาม
มีรอยยิ้มให้คนรอบข้าง
เห็นคุณค่าและให้ความสน ใจกับการทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น
เชื่อมั่นในความดี
ศรัทธาที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
พร้อมที่จะให้กับผู้ที่ด้อยกว่าในสังคม
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความหวังว่าเราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้นได้ ด้วยการเริ่มต้นที่ตนเอง แล้วลงมือทำให้ดีที่สุด
ด้วยข้อคิดเห็นที่ว่าการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าของคนในสังคมปัจจุบัน ส่วนใหญ่คำนึงถึงการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศ ตั้งหน้าตั้งตาสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต เพื่อให้ทรัพย์สินเพิ่มพูนมากขึ้น แต่ตลอดชีวิตการทำงานมิได้มีเวลาให้กับตนเองและสังคมรอบข้าง
เราจะเห็นว่าการมีเงินทองมากขึ้น แต่ทำให้ชีวิตครอบครัวล้มเหลว หรือการมีฐานะตำแหน่งที่สูงส่งโดดเด่น แต่ชีวิตกลับเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง หาความสงบสุขไม่ได้ ดังนั้นการหวังแค่ให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตย่อมไม่เพียงพอ และไม่ใช่ปัจจัยสำคัญแห่งชีวิตที่ผาสุก
แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในชีวิตได้ด้วยการกระทำของเราเอง ความเปลี่ยนแปลงที่ดีๆ จะเกิดขึ้นในจิตใจของเราได้ ก็ด้วยการฝึกฝนและหมั่นสร้างคุณภาพใหม่ให้แก่จิตใจอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการทำความดี บ่มเพาะปัญญา และสร้างสรรค์สังคม
พื้นที่เล็กๆ ในห้องสี่เหลี่ยมบนอาคารพุทธมามกะของวัดปทุมคงคา เมื่อ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตและสร้างพื้นที่ทางปัญญา เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นร่วมกัน
ประเด็นพูดคุยเป็นเรื่อง "จุดเปลี่ยนชีวิตกับแนวคิดเพื่อสังคม" ซึ่ง
ปริญญาพร สุทธานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรม ป๋วยเสวนาคาร กล่าวว่า
"เรามองว่าท่ามกลางระบบคุณค่าที่สับสนยุ่งเหยิงอย่างยิ่งของสังคมยุคปัจจุบัน ทำให้คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้ตั้งคำถามกับตัวเอง กับคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รวมทั้งสังคมทั้งระบบว่า อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ ชีวิตมนุษย์มีความหมายหรือไม่? เราต้องมีเป้าหมายในชีวิตที่สูงส่งหรือไม่ ทำอย่างไรเราจึงจะดำรงชีวิตอย่างมีความหมายให้สมศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องหาคำตอบและค้นหากันต่อไป
...ช่วงเวลาที่สังคมมีแต่ความสับสนวุ่นวายนี้ คนรุ่นใหม่จำต้องมีศรัทธาที่มั่นคง และมีความหวังอันแน่วแน่ เพื่อที่จะทำให้เขามีความกล้าหาญทางสติปัญญา และความกล้าหาญทางจริยธรรม ไม่ย่นย่อต่ออุปสรรคที่ขวางกั้นทางแห่งอุดมคติของตน คนเราต้องมีอุดมคติที่จะพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ขึ้น ต้องมีเป้าหมายที่จะทำประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์อย่างเสียสละที่แท้จริง..."
จากตัวอย่างของบุคคลที่มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมระบบบริโภคและทุนนิยม ช่วงเวลาหนึ่งของการดำเนินชีวิตมีบางสิ่งทำให้เกิดจุดเปลี่ยนขึ้น และมองเห็นคุณค่าของตนเองในการอยู่ร่วมกับคนอื่น
แทนคุณ จิตต์อิสระ นักแสดงดาวรุ่งที่หันหลังให้กับวงการมายาในขณะที่กำลังรุ่งโรจน์ เขาเลือกทางเดินชีวิตในวิถีแห่งความสุขที่แท้จริง หลังเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจมากที่สุดในชีวิต ปัจจุบันหันมาสนใจธรรมะ ศาสนาและศิลปวัฒนธรรมมากขึ้น มุ่งมั่นที่จะทำอะไรต่ออะไรหลายอย่าง เช่น โครงการธรรมะการ์ตูนฯ โครงการหนึ่งครอบครัวหนึ่งลูกกตัญญู ฯลฯ
"...หลังจากที่ผมเสียพ่อในปี 2543 วิธีคิดของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีความชัดเจนในชีวิตมากขึ้น มีจุดหมายชีวิตที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยคิดว่าเงินจะทำให้ครอบครัวเรามีความสุข ชื่อเสียงเกียรติยศเงินทองคือความสำเร็จ แต่กลับพบว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เลย การได้มีโอกาสทดแทนคุณพ่อแม่ ทำชีวิตให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม การอยู่กับปัจจุบันให้เกิดสุขที่คุ้มค่าที่สุดต่างหากที่คือสุข เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยใจ..."
แทนคุณ บอกว่าการมี จิตสาธารณะ เป็นการทำเพื่อให้ตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นและสังคมก็ดีขึ้น
"ผมเชื่อว่าชีวิตออกแบบได้ ชีวิตเราเลือกได้ จากมรณะข้ามคืน มาเป็นอัจฉริยะข้ามคืน ได้ทำหลายๆ อย่างที่รักและที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม..."
ปัจจุบัน แทนคุณ ทำงานใหญ่ๆ 3 ด้าน คือ ด้านการศึกษา เขามองว่าการศึกษาที่แท้จริงคือการเสียสละ การขัดเกลาจิตใจตนเอง เอาความเห็นแก่ตัวออกไป อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างไม่เอาเปรียบและอยู่อย่างสมดุล
ด้านการสื่อสาร เป็นการกระจายความรู้ความคิดที่เป็นประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่รับทราบ สุดท้าย คือด้านศาสนา ซึ่งเป็นชีวิตและหัวใจสำคัญ เขามีเป้าหมายพาตัวเองไปสู่ความหลุดพ้น ซึ่งทุกวันนี้เขาตั้งใจอย่างเต็มที่ในการใช้ศาสนาดำเนินชีวิตและช่วยเหลือสังคม
นอกจากนี้ยังมี ปรัชวัน เกตวัลห์ นักวางแผนการตลาดอิสระ เธอไม่ใช่คนมีชื่อเสียงในสังคม แต่การที่เธอเดินทางไปทิเบตสามครั้ง ทำให้บางอย่างในชีวิตเธอเปลี่ยนไป เธอมีใจอยากช่วยเหลือคนทิเบต ไม่ใช่เพราะพวกเขายากจน แต่พวกเขาทำให้เธอเข้าใจชีวิตอีกมุมหนึ่ง
"เมื่อก่อนเราคิดว่าความสุขคือได้ทำงานอย่างที่เราต้องการ หรือเรื่องวัตถุ แต่พอได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ ทำอะไรช้าๆ ทำให้เรามองโลกด้วยสายตาที่เย็นลง ความทุกข์ที่เรามีเทียบไม่ได้กับความทุกข์ที่เขามี เราจึงหันมาทำสิ่งเล็กๆ ที่เราชอบที่เราถนัด แม้จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่เปลี่ยนแปลงตนเองได้"
สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ชายที่บอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ในรายการสารคดีชีวิต "คนค้นฅน" เป็นอีกคนที่มีมุมมองเรื่องนี้ เขาเชื่ออยู่เสมอว่าเมื่อค้นหาจะได้พบกับบางสิ่งที่ไม่เคยรู้จัก บางสิ่งที่รู้จักอาจแตกต่างจากหลายสิ่งที่เคยคิด แต่หลายสิ่งที่คิด อาจมิใช่บางสิ่งที่เคยเข้าใจ
"ผมเชื่อว่ามนุษย์เป็นสีเทา ผมไม่เชื่อเรื่องความสุขตามลำพัง ผมมองว่าสุขอยู่ตามลำพัง สังคมไม่มีวันดีได้ คนดีต้องไม่ดูดายความเดือดร้อนของผู้อื่น คือผมคิดว่าที่ผ่านมาบางคนมีล้นเหลือ บางคนจิตใจดีมาก แต่ดีอยู่ที่บ้าน ดีอยู่โดยลำพัง ไม่ได้ไปเกื้อกูลกับสังคมแม้แต่น้อย มันไม่พอ ผมคิดว่าบทบาทอะไรก็ตามที่มีผลมีส่วนทำให้คนมีความสุขด้วยกัน เป็นสิ่งที่น่าจะทำให้เกิด
ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนการเรียนรู้ใหม่ในบางเรื่อง
ทุกคนในสังคมควรจะเกื้อกูลและเอื้ออาทรกันไป
มนุษย์ควรเติมเต็มกันและกันมากขึ้น"
หากทุกคนในสังคมร่วมกันใช้ชีวิตวันนี้ให้ง่ายและงาม
มีรอยยิ้มให้คนรอบข้าง
เห็นคุณค่าและให้ความสน ใจกับการทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น
เชื่อมั่นในความดี
ศรัทธาที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
พร้อมที่จะให้กับผู้ที่ด้อยกว่าในสังคม
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความหวังว่าเราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้นได้ ด้วยการเริ่มต้นที่ตนเอง แล้วลงมือทำให้ดีที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น