"เจเอ็มจี" ย่อมาจากชื่อเต็มของ
ฌอง มาร์ค กีล์ลูส์ ตำนานนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส
ที่ได้ก่อกำเนิดสถาบันลูกหนังโลกแห่งนี้ขึ้นมาที่บ้านเกิดของตัวเอง โดยมี อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของสถาบัน
จากสาขาแรกที่ฝรั่งเศส "เจเอ็มจี" ขยายกิ่งก้านสาขาสู่ระดับโลกด้วยการไปตั้งสถาบันในแถบกาฬทวีปที่ ไอเวอรี โคสต์ และ มาดากัสการ์ เพราะเล็งเห็นว่านักเตะแอฟริกามีความแข็งแกร่งและมีความสามารถ "เจเอ็มจี" จึงเข้าไปผลิตนักฟุตบอลส่งเข้าสู่ตลาดลูกหนังในทวีปยุโรปหลายต่อหลายคน
ผลผลิตของ "เจเอ็มจี" ที่ออกดอกออกผลให้รู้จักกันในเวทีแข้งระดับโลกตอนนี้คือ โคโล ตูเร และ เอ็มมานูเอล เอบู สองนักเตะของทีมอาร์เซนอลในศึกพรีเมียร์ลีกแดนผู้ดี นอกจากนั้นยังมีนักเตะอาชีพอีกประมาณ 40 คน ที่ค้าแข้งอยู่ในลีกชั้นนำของยุโรป
สำหรับ "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" ถือเป็นสาขาแรกของทวีปเอเชีย โดยมี
จากสาขาแรกที่ฝรั่งเศส "เจเอ็มจี" ขยายกิ่งก้านสาขาสู่ระดับโลกด้วยการไปตั้งสถาบันในแถบกาฬทวีปที่ ไอเวอรี โคสต์ และ มาดากัสการ์ เพราะเล็งเห็นว่านักเตะแอฟริกามีความแข็งแกร่งและมีความสามารถ "เจเอ็มจี" จึงเข้าไปผลิตนักฟุตบอลส่งเข้าสู่ตลาดลูกหนังในทวีปยุโรปหลายต่อหลายคน
ผลผลิตของ "เจเอ็มจี" ที่ออกดอกออกผลให้รู้จักกันในเวทีแข้งระดับโลกตอนนี้คือ โคโล ตูเร และ เอ็มมานูเอล เอบู สองนักเตะของทีมอาร์เซนอลในศึกพรีเมียร์ลีกแดนผู้ดี นอกจากนั้นยังมีนักเตะอาชีพอีกประมาณ 40 คน ที่ค้าแข้งอยู่ในลีกชั้นนำของยุโรป
สำหรับ "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" ถือเป็นสาขาแรกของทวีปเอเชีย โดยมี
โรเบิร์ต โปรกูเรีย ฝรั่งหัวใจไทย
ที่หลงเสน่ห์มาใช้ชีวิตที่เมืองไทยกว่า 15 ปี แล้วทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทั่วไป และมี คริสตอฟ ลาฮุยส์ ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน
"ผมรักเมืองไทย และต้องการอยากจะเห็นนักฟุตบอลไทยและวงการฟุตบอลไทยพัฒนามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความฝันที่อยากเห็นทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก ผมจึงติดต่อ ฌอง มาร์ค กีล์ลูส์ ให้มาเปิดสถาบันเจเอ็มจี ที่เมืองไทย" โปรกูเรีย เล่าถึงที่มาของเจเอ็มจีสาขาแรกในเอเชีย
"เจเอ็มจี" เริ่มต้นด้วยการทุ่มงบประมาณ 10 ล้านบาทในการเนรมิตพื้นที่ 12 ไร่ บริเวณสนามฟุตบอลเบียร์ช้าง ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ขึ้นมาเป็นฐานทัพที่มีพร้อมสรรพทั้งอาคารสถานที่พัก สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล โดยสถานที่ทั้งหมดได้รับการตกแต่งอย่างโออ่าสวยงามระดับรีสอร์ทเลยทีเดียว
หลังจากนั้น "เจเอ็มจี" ตระเวนไปคัดเลือกนักฟุตบอลระดับเยาวชนอายุ 12-13 ปี ทั่วประเทศเพื่อคัดสุดยอดนักเตะเพียง 16 คนเพื่อเข้าสู่ "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" รุ่นที่ 1 โดยการคัดเลือกตัวค่อนข้างจะแปลก เพราะ "เจเอ็มจี" สั่งนักเตะถอดรองเท้าแล้วให้ลงเล่นแบบ เท้าเปล่า
เมื่อได้นักเตะครบ16 คนแล้ว ทุกคนต้องเซ็นสัญญาระยะยาว 7 ปี กับ "เจเอ็มจี" เพื่อเข้าเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังแบบกินนอนอยู่ประจำกับสถาบันเป็นเวลา 7 ปีเต็ม โดยมีเป้าหมายว่า เมื่อครบ 7 ปี นักฟุตบอลเหล่านี้จะถูกส่งไปเล่นฟุตบอลอาชีพในทวีปยุโรป
คริสตอฟ ลาฮูยส์ โค้ชยอดฝีมือของ "เจเอ็มจี" ที่ผ่านการปั้นนักเตะในกาฬทวีปมาแล้ว 5 ปีเต็ม ทั้งที่มาดากัสการ์ 3 ปีและไอเวอรี โคสต์ 2 ปี บอกว่าหลักสูตรการฝึกซ้อมทั้งหมดจะเป็นมาตรฐานเดียวกันของ "เจเอ็มจี" ทั่วโลก
"ปรัชญาของเราคือพัฒนาเทคนิคให้นักฟุตบอลมีความชาญฉลาดในการเล่น ทั้งความสามารถเฉพาะตัว และไอเดียในเกม โดยจะเน้นฝึกพื้นฐานทุกวัน และการฝึกซ้อมจะต้องสนุกไม่ทำให้เด็กเบื่อ ต้องฝึกกับลูกฟุตบอลตลอดอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อวัน"
สูตรเด็ดของ "เจเอ็มจี" คือนักฟุตบอลจะต้องลงฝึกซ้อมแบบ ตีนเปลือย เหมือนกับตอนที่คัดเลือกตัว โดยแต่ละวันทุกคนจะไม่มีสิทธิได้ใส่สตั๊ดในการฝึกซ้อมทั้งช่วงเช้าและเย็น
"การเล่นด้วยเท้าเปล่าเป็นการฝึกควบคุมลูกฟุตบอลอย่างดี ทุกคนจะได้ฝึกให้เคยชินกับลูกฟุตบอลให้มากที่สุด โดยช่วง 2-3 ปีแรกจะไม่ให้ใส่รองเท้าแบบนี้ไปตลอด หลังจากนั้นพอเริ่มใส่รองเท้าก็จะเกิดความรู้สึกว่าเล่นเหมือนไม่ใส่รองเท้า เลย" คริสตอฟ อธิบายสูตรเด็ดของ "เจเอ็มจี"
นักฟุตบอลรุ่นแรกของ "เจเอ็มจี" เมืองไทยได้เข้าเรียนที่สถาบันมาตั้งแต่เดือนเมษายน รวมเวลาจนถึงตอนนี้ก็ 7 เดือนแล้ว และมีเพื่อนนักเตะจาก "เจเอ็มจี อคาเดมี ไอวอรี โคสต์" เดินทางข้ามโลกมาร่วมฝึกด้วยอีก 4 ชีวิต รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดมี 20 คนในตอนนี้
กิจวัตรประจำวันของนักเตะทั้งหมดจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง หลังจากนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ชุด คือคนที่เรียนอยู่ ป.6 และ ม.1 โดยชุดแรกจะแบกเป้ไปเรียนหนังสือที่ ร.ร.ชุมชนบ้านอ่างเวียน ส่วนชุดที่ 2 จะลงฝึกซ้อมช่วงเช้าเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็มตั้งแต่เวลา 08.00-10.00 น. โดยเน้นพื้นฐานเป็นหลัก
หลังจากฝึกซ้อมเสร็จชุดที่สองจะไปเรียนหนังสือ ส่วนชุดแรกจะกลับจากโรงเรียนมาฝึกซ้อมตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. เสร็จแล้วในช่วงบ่ายก็จะกลับไปเรียนหนังสือต่อตามเดิม จนถึงเวลา 15.30 น. นักเตะทั้งสองชุดจะกลับมาที่สถาบันเพื่อเรียนภาษาอังกฤษ โดยมีการจ้างครูมาสอนพิเศษแบบใกล้ชิด
จนกระทั่งเวลา 16.00 น. จะเป็นการฝึกซ้อมช่วงเย็นที่จะเริ่มจากการ เดาะบอล เพราะจะมีการสอบเดาะบอลทุกวันจันทร์ โดยมีโจทย์ว่าเดาะ 7 ท่า 700 คะแนน คือ 1.เท้าซ้ายอย่างเดียว 2.เท้าขวาอย่างเดียว 3.เท้าซ้าย-เท้าขวา 4.หัว 5.เท้า-เข่า 6.เท้า-เข่า-หัว 7.เท้า-หน้าอก
ในช่วงแรกๆ นักเตะเกือบทั้งหมดเดาะกันได้ไม่กี่สิบครั้ง แต่ถึงตอนนี้มาตรฐานของทุกคนอยู่ที่ 500 กว่าครั้ง และบางคนทำได้ถึง 700 คะแนนเต็ม แถมยังมีลีลาการเดาะบอลด้วยท่าแปลกๆ อย่าง ท่าแมวน้ำ โชว์อีกต่างหาก
นอกจากการฝึกเดาะบอลเพื่อสร้างพื้นฐานให้ปึ้กแล้ว การฝึกซ้อมในช่วงเย็นจะตามมาด้วยการลงเกมในแบบ 7 ต่อ 7 แต่ถ้าวันไหนฝนตกจะเล่นแบบ 10 ต่อ 10 โดยทีมชนะในแต่ละวันจะได้สิทธิลงเล่นในสระว่ายน้ำ หรือได้รางวัลเป็นขนมและไอศกรีม
ส่วนเวลายามค่ำจะเป็นช่วงผ่อนคลาย ทุกคนมีเวลาที่จะทำการบ้าน ดูโทรทัศน์ เล่นเกม แทงสนุกเกอร์ หรือตีปิงปองตามที่สถาบันจัดหาโต๊ะมาไว้ให้เด็กๆ ได้เล่นกัน จนถึงเวลา 21.30 น. ทุกคนต้องเข้านอนแบบห้ามบิดพลิ้ว
การฝึกซ้อมแต่ละวัน คริสตอฟ จะดูแลอย่างใกล้ชิด หากว่าใครไม่มีความตั้งใจในการฝึมซ้อมจะถูกไล่ออกจากสนามทันที และหากไม่เชื่อฟังหรือทำตัวไม่อยู่ในกฎระเบียบจะถูกเรียกเข้าห้องเย็นเพื่อ อบรมแบบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
"ต้น-ต๋อง" ณัฐพร-ณัฐพงษ์ ศรีคง คู่แฝดที่จะผ่านการคัดเลือกตัวจากเมืองกรุงกล่าวถึงการเรียนที่ "เจเอ็มจี" ว่า
"ผ่าน 7 เดือนมาแล้วผมว่าตัวเองเก่งขึ้นเยอะเลยครับ ต่างจากตอนมาแรกๆ เยอะเลย อยู่ที่นี่มีความสุขดีครับ กินอยู่สบายฝึกซ้อมได้เต็มที่ ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ก้าวไปติดทีมชาติไทย หรือไปเล่นฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศครับ"
จากวันแรกมาถึงวันนี้นักเตะ "เจเอ็มจี" เริ่มแสดงความสามารถออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ทั้งการพาทีมร.ร.ชุมชนบ้านอ่างเวียน คว้าแชมป์ในรายการต่างๆ รวมถึงในการลงทีมอุ่นเครื่องหลายๆ ครั้งพวกเขามักจะพบชัยชนะแม้ว่าจะเจอเด็กที่โตกว่าก็ตาม แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ คริสตอฟ ต้องการในตอนนี้
"ช่วง 2-3 ปีแรกจะเน้นการฝึกพื้นฐานเป็นหลักไม่เน้นผลแข่งขัน แต่พอหมด 3 ปีแล้วถึงจะเน้นการลงทีมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอาจจะสร้างทีมสโมสรของตัวเองขึ้นมาเพื่อส่งแข่งในรายการต่างๆ จนกระทั่งครบ 7 ปี ทุกคนจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัว"
"เจเอ็มจี" มีพันธมิตรอยู่หลายสโมสรในยุโรป โดยเฉพาะทีม เบฟเวอเรน ในเบลเยียมที่จะเป็นทีมแรกในการรองรับนักเตะของ "เจเอ็มจี" ทั่วโลก หากว่าครบ 7 ปีเด็กไทยก็จะไปเริ่มต้นที่เบฟเวอเรน และหากฟอร์มเข้าตาก็มีโอกาสที่จะก้าวไปเล่นในสโมสรอื่นได้ นั่นเท่ากับว่าจะนำมาซึ่งรายได้มหาศาล
คริสตอฟ ค่อนข้างที่จะมีความมั่นใจมากกว่าลูกศิษย์ของเขาว่าจะสามารถพัฒนาฝีเท้าแล้ว โกอินเตอร์เล่นในยุโรปได้แน่ หรืออย่างน้อยๆ ก็สามารถเล่นในลีกดังของเอเชียอย่าง เคลีก เกาหลีใต้ หรือเจลีก ของญี่ปุ่น
"อีก 3-4 ปีเด็กพวกนี้จะเล่นในระดับไทยลีกได้สบายๆ และพอครบ 7 ปีจะไปเล่นในยุโรปได้แน่นอน ดูแล้วน่าจะมีเกินกว่า 10 คนที่ไปเล่นในลีกของยุโรป เพราะทักษะของเด็กไทยดีมากๆ ดีกว่าเด็กในแอฟริกาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันก็เป็นการเร็วไปที่จะบอกได้ว่าใครจะไปถึงยุโรปบ้าง"
แม้นักเตะทุกคนจะมีสัญญากับ "เจเอ็มจี" 7 ปี แต่หากทีมชาติไทยต้องการตัวไปรับใช้ชาติ "เจเอ็มจี" ก็ไม่มีปัญหาอย่างใด เพราะในมาดากัสการ์ หรือไอเวอรี โคสต์ ก็แทบจะยกชุดนักเตะของ "เจเอ็มจี" ไปเล่นทีมชาติ ที่สำคัญคือ "เจเอ็มจี" มุ่งมั่นที่จะทำชาติไทยให้ประสบความสำเร็จด้วย
"นักฟุตบอลของเจเอ็มจีสามารถที่จะพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ได้ เพราะเรามาเมืองไทยเพื่อสิ่งนี้ ผมบอกได้เลยว่าอีก 6 ปีข้างหน้าทีมไทยจะเก่งกว่า จีน ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ หากว่าทุกคนอยู่ในหลักสูตรของเจเอ็มจี ครบ 7 ปีเต็ม"
ระยะเวลา 7 ปีอาจจะดูยาวนาน แต่สำหรับการสร้างนักเตะระดับคุณภาพคงไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนานแต่อย่างใด และเมื่อถึงตรงนั้นขอได้ดูคำตอบกันว่า "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" จะทำความฝันของนักเตะไทยทั้ง 16 คน และความฝันของแฟนบอลไทยจะเป็นจริงได้หรือไม่
เครดิต คอบอลไทย
"ผมรักเมืองไทย และต้องการอยากจะเห็นนักฟุตบอลไทยและวงการฟุตบอลไทยพัฒนามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความฝันที่อยากเห็นทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก ผมจึงติดต่อ ฌอง มาร์ค กีล์ลูส์ ให้มาเปิดสถาบันเจเอ็มจี ที่เมืองไทย" โปรกูเรีย เล่าถึงที่มาของเจเอ็มจีสาขาแรกในเอเชีย
"เจเอ็มจี" เริ่มต้นด้วยการทุ่มงบประมาณ 10 ล้านบาทในการเนรมิตพื้นที่ 12 ไร่ บริเวณสนามฟุตบอลเบียร์ช้าง ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ขึ้นมาเป็นฐานทัพที่มีพร้อมสรรพทั้งอาคารสถานที่พัก สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล โดยสถานที่ทั้งหมดได้รับการตกแต่งอย่างโออ่าสวยงามระดับรีสอร์ทเลยทีเดียว
หลังจากนั้น "เจเอ็มจี" ตระเวนไปคัดเลือกนักฟุตบอลระดับเยาวชนอายุ 12-13 ปี ทั่วประเทศเพื่อคัดสุดยอดนักเตะเพียง 16 คนเพื่อเข้าสู่ "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" รุ่นที่ 1 โดยการคัดเลือกตัวค่อนข้างจะแปลก เพราะ "เจเอ็มจี" สั่งนักเตะถอดรองเท้าแล้วให้ลงเล่นแบบ เท้าเปล่า
เมื่อได้นักเตะครบ16 คนแล้ว ทุกคนต้องเซ็นสัญญาระยะยาว 7 ปี กับ "เจเอ็มจี" เพื่อเข้าเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังแบบกินนอนอยู่ประจำกับสถาบันเป็นเวลา 7 ปีเต็ม โดยมีเป้าหมายว่า เมื่อครบ 7 ปี นักฟุตบอลเหล่านี้จะถูกส่งไปเล่นฟุตบอลอาชีพในทวีปยุโรป
คริสตอฟ ลาฮูยส์ โค้ชยอดฝีมือของ "เจเอ็มจี" ที่ผ่านการปั้นนักเตะในกาฬทวีปมาแล้ว 5 ปีเต็ม ทั้งที่มาดากัสการ์ 3 ปีและไอเวอรี โคสต์ 2 ปี บอกว่าหลักสูตรการฝึกซ้อมทั้งหมดจะเป็นมาตรฐานเดียวกันของ "เจเอ็มจี" ทั่วโลก
"ปรัชญาของเราคือพัฒนาเทคนิคให้นักฟุตบอลมีความชาญฉลาดในการเล่น ทั้งความสามารถเฉพาะตัว และไอเดียในเกม โดยจะเน้นฝึกพื้นฐานทุกวัน และการฝึกซ้อมจะต้องสนุกไม่ทำให้เด็กเบื่อ ต้องฝึกกับลูกฟุตบอลตลอดอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อวัน"
สูตรเด็ดของ "เจเอ็มจี" คือนักฟุตบอลจะต้องลงฝึกซ้อมแบบ ตีนเปลือย เหมือนกับตอนที่คัดเลือกตัว โดยแต่ละวันทุกคนจะไม่มีสิทธิได้ใส่สตั๊ดในการฝึกซ้อมทั้งช่วงเช้าและเย็น
"การเล่นด้วยเท้าเปล่าเป็นการฝึกควบคุมลูกฟุตบอลอย่างดี ทุกคนจะได้ฝึกให้เคยชินกับลูกฟุตบอลให้มากที่สุด โดยช่วง 2-3 ปีแรกจะไม่ให้ใส่รองเท้าแบบนี้ไปตลอด หลังจากนั้นพอเริ่มใส่รองเท้าก็จะเกิดความรู้สึกว่าเล่นเหมือนไม่ใส่รองเท้า เลย" คริสตอฟ อธิบายสูตรเด็ดของ "เจเอ็มจี"
นักฟุตบอลรุ่นแรกของ "เจเอ็มจี" เมืองไทยได้เข้าเรียนที่สถาบันมาตั้งแต่เดือนเมษายน รวมเวลาจนถึงตอนนี้ก็ 7 เดือนแล้ว และมีเพื่อนนักเตะจาก "เจเอ็มจี อคาเดมี ไอวอรี โคสต์" เดินทางข้ามโลกมาร่วมฝึกด้วยอีก 4 ชีวิต รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดมี 20 คนในตอนนี้
กิจวัตรประจำวันของนักเตะทั้งหมดจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง หลังจากนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ชุด คือคนที่เรียนอยู่ ป.6 และ ม.1 โดยชุดแรกจะแบกเป้ไปเรียนหนังสือที่ ร.ร.ชุมชนบ้านอ่างเวียน ส่วนชุดที่ 2 จะลงฝึกซ้อมช่วงเช้าเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็มตั้งแต่เวลา 08.00-10.00 น. โดยเน้นพื้นฐานเป็นหลัก
หลังจากฝึกซ้อมเสร็จชุดที่สองจะไปเรียนหนังสือ ส่วนชุดแรกจะกลับจากโรงเรียนมาฝึกซ้อมตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. เสร็จแล้วในช่วงบ่ายก็จะกลับไปเรียนหนังสือต่อตามเดิม จนถึงเวลา 15.30 น. นักเตะทั้งสองชุดจะกลับมาที่สถาบันเพื่อเรียนภาษาอังกฤษ โดยมีการจ้างครูมาสอนพิเศษแบบใกล้ชิด
จนกระทั่งเวลา 16.00 น. จะเป็นการฝึกซ้อมช่วงเย็นที่จะเริ่มจากการ เดาะบอล เพราะจะมีการสอบเดาะบอลทุกวันจันทร์ โดยมีโจทย์ว่าเดาะ 7 ท่า 700 คะแนน คือ 1.เท้าซ้ายอย่างเดียว 2.เท้าขวาอย่างเดียว 3.เท้าซ้าย-เท้าขวา 4.หัว 5.เท้า-เข่า 6.เท้า-เข่า-หัว 7.เท้า-หน้าอก
ในช่วงแรกๆ นักเตะเกือบทั้งหมดเดาะกันได้ไม่กี่สิบครั้ง แต่ถึงตอนนี้มาตรฐานของทุกคนอยู่ที่ 500 กว่าครั้ง และบางคนทำได้ถึง 700 คะแนนเต็ม แถมยังมีลีลาการเดาะบอลด้วยท่าแปลกๆ อย่าง ท่าแมวน้ำ โชว์อีกต่างหาก
นอกจากการฝึกเดาะบอลเพื่อสร้างพื้นฐานให้ปึ้กแล้ว การฝึกซ้อมในช่วงเย็นจะตามมาด้วยการลงเกมในแบบ 7 ต่อ 7 แต่ถ้าวันไหนฝนตกจะเล่นแบบ 10 ต่อ 10 โดยทีมชนะในแต่ละวันจะได้สิทธิลงเล่นในสระว่ายน้ำ หรือได้รางวัลเป็นขนมและไอศกรีม
ส่วนเวลายามค่ำจะเป็นช่วงผ่อนคลาย ทุกคนมีเวลาที่จะทำการบ้าน ดูโทรทัศน์ เล่นเกม แทงสนุกเกอร์ หรือตีปิงปองตามที่สถาบันจัดหาโต๊ะมาไว้ให้เด็กๆ ได้เล่นกัน จนถึงเวลา 21.30 น. ทุกคนต้องเข้านอนแบบห้ามบิดพลิ้ว
การฝึกซ้อมแต่ละวัน คริสตอฟ จะดูแลอย่างใกล้ชิด หากว่าใครไม่มีความตั้งใจในการฝึมซ้อมจะถูกไล่ออกจากสนามทันที และหากไม่เชื่อฟังหรือทำตัวไม่อยู่ในกฎระเบียบจะถูกเรียกเข้าห้องเย็นเพื่อ อบรมแบบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
"ต้น-ต๋อง" ณัฐพร-ณัฐพงษ์ ศรีคง คู่แฝดที่จะผ่านการคัดเลือกตัวจากเมืองกรุงกล่าวถึงการเรียนที่ "เจเอ็มจี" ว่า
"ผ่าน 7 เดือนมาแล้วผมว่าตัวเองเก่งขึ้นเยอะเลยครับ ต่างจากตอนมาแรกๆ เยอะเลย อยู่ที่นี่มีความสุขดีครับ กินอยู่สบายฝึกซ้อมได้เต็มที่ ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ก้าวไปติดทีมชาติไทย หรือไปเล่นฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศครับ"
จากวันแรกมาถึงวันนี้นักเตะ "เจเอ็มจี" เริ่มแสดงความสามารถออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ทั้งการพาทีมร.ร.ชุมชนบ้านอ่างเวียน คว้าแชมป์ในรายการต่างๆ รวมถึงในการลงทีมอุ่นเครื่องหลายๆ ครั้งพวกเขามักจะพบชัยชนะแม้ว่าจะเจอเด็กที่โตกว่าก็ตาม แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ คริสตอฟ ต้องการในตอนนี้
"ช่วง 2-3 ปีแรกจะเน้นการฝึกพื้นฐานเป็นหลักไม่เน้นผลแข่งขัน แต่พอหมด 3 ปีแล้วถึงจะเน้นการลงทีมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอาจจะสร้างทีมสโมสรของตัวเองขึ้นมาเพื่อส่งแข่งในรายการต่างๆ จนกระทั่งครบ 7 ปี ทุกคนจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัว"
"เจเอ็มจี" มีพันธมิตรอยู่หลายสโมสรในยุโรป โดยเฉพาะทีม เบฟเวอเรน ในเบลเยียมที่จะเป็นทีมแรกในการรองรับนักเตะของ "เจเอ็มจี" ทั่วโลก หากว่าครบ 7 ปีเด็กไทยก็จะไปเริ่มต้นที่เบฟเวอเรน และหากฟอร์มเข้าตาก็มีโอกาสที่จะก้าวไปเล่นในสโมสรอื่นได้ นั่นเท่ากับว่าจะนำมาซึ่งรายได้มหาศาล
คริสตอฟ ค่อนข้างที่จะมีความมั่นใจมากกว่าลูกศิษย์ของเขาว่าจะสามารถพัฒนาฝีเท้าแล้ว โกอินเตอร์เล่นในยุโรปได้แน่ หรืออย่างน้อยๆ ก็สามารถเล่นในลีกดังของเอเชียอย่าง เคลีก เกาหลีใต้ หรือเจลีก ของญี่ปุ่น
"อีก 3-4 ปีเด็กพวกนี้จะเล่นในระดับไทยลีกได้สบายๆ และพอครบ 7 ปีจะไปเล่นในยุโรปได้แน่นอน ดูแล้วน่าจะมีเกินกว่า 10 คนที่ไปเล่นในลีกของยุโรป เพราะทักษะของเด็กไทยดีมากๆ ดีกว่าเด็กในแอฟริกาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันก็เป็นการเร็วไปที่จะบอกได้ว่าใครจะไปถึงยุโรปบ้าง"
แม้นักเตะทุกคนจะมีสัญญากับ "เจเอ็มจี" 7 ปี แต่หากทีมชาติไทยต้องการตัวไปรับใช้ชาติ "เจเอ็มจี" ก็ไม่มีปัญหาอย่างใด เพราะในมาดากัสการ์ หรือไอเวอรี โคสต์ ก็แทบจะยกชุดนักเตะของ "เจเอ็มจี" ไปเล่นทีมชาติ ที่สำคัญคือ "เจเอ็มจี" มุ่งมั่นที่จะทำชาติไทยให้ประสบความสำเร็จด้วย
"นักฟุตบอลของเจเอ็มจีสามารถที่จะพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ได้ เพราะเรามาเมืองไทยเพื่อสิ่งนี้ ผมบอกได้เลยว่าอีก 6 ปีข้างหน้าทีมไทยจะเก่งกว่า จีน ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ หากว่าทุกคนอยู่ในหลักสูตรของเจเอ็มจี ครบ 7 ปีเต็ม"
ระยะเวลา 7 ปีอาจจะดูยาวนาน แต่สำหรับการสร้างนักเตะระดับคุณภาพคงไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนานแต่อย่างใด และเมื่อถึงตรงนั้นขอได้ดูคำตอบกันว่า "เจเอ็มจี อคาเดมี ไทยแลนด์" จะทำความฝันของนักเตะไทยทั้ง 16 คน และความฝันของแฟนบอลไทยจะเป็นจริงได้หรือไม่
เครดิต คอบอลไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น