จัดลำดับปัญหาสำคัญของโลก

26 ต.ค. 2554
TED 

โดย  Bjorn Lomborg 

Danish political scientist Bjorn Lomborg heads the Copenhagen Consensus, which has prioritized the world's greatest problems -- global warming, world poverty, disease -- based on how effective our solutions might be. It's a thought-provoking, even provocative list.

ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับปัญหาที่มีความสำคัญที่สุดในโลกของเรา ผมไม่ได้กำลังจะพูดเกี่ยวกับ "นักสิ่งแวดล้อมจอมตั้งแง่" ซึ่งนั่นอาจเป็นตัวเลือกที่ดี (หัวเราะ)

แต่ผมกำลังจะพูดเกี่ยวกับเรื่อง อะไรคือปัญหาสำคัญในโลกใบนี้? และก่อนที่ผมจะพูดต่อไป ผมขอให้ทุกท่าน หยิบปากกาและกระดาษออกมา เพราะผมจะขอให้ทุกท่านช่วยผมคิดว่า พวกเราควรจะมองมันอย่างไร หยิบกระดาษกับปากกาออกมาเลยครับ

อย่าลืมว่า มีปัญหามากมายในโลกใบนี้ ผมจะกล่าวถึงบางปัญหา มี 800 ล้านคนบนโลกที่อดยาก มีคนเป็น พันล้านคนที่ไม่มีน้ำดื่มสะอาดบริโภค 2,000 ล้านคนไม่มีระบบสุขาภิบาล และมีอีกหลายล้านคนที่กำลังจะตายด้วย เอชไอวีและเอดส์ รายการปัญหายังมีต่อครับ มีผู้คนอีกกว่า 2,000 ล้านคนที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น ปัญหามีจำนวนมากจริงๆ

ถ้าเป็นไปได้ เราคงอยากแก้ไขปัญหาเหล่านี้ทั้งหมด แต่เราทำไม่ได้ จริงๆ แล้ว เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกปัญหาได้ และถ้าเราไม่สามารถทำได้ คำถามที่ผมคิดว่าเราควรต้องถามตัวเอง และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ -- ก็คือ ถ้าเราไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง

เราควรต้องเริ่มถามตัวเองอย่างจริงจังว่า แล้วปัญหาอะไรล่ะที่เราควรแก้ไขเป็นอย่างแรก และนั่นก็เป็นคำถามที่ผมอยากถามคุณ ถ้าเรามีเงินสัก 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับใช้ใน 4 ปีข้างหน้า เพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกของเรา เราควรใช้เพื่อแก้ปัญหาใด

พวกเรายก 10 ปัญหาที่ท้าทายที่สุดของโลกขึ้นมา ผมจะอ่านสั้นๆ

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, 
- โรคติดต่อ, 
- ความข้ดแย้ง, 
- การศึกษา 
- ความไม่มั่นคงทางการเงิน, 
- ธรรมาภิบาลและการคอร์รัปชั่น 
- การขาดแคลนอาหารและผู้อดอยาก, 
- การย้ายถิ่น สุขาภิบาลและน้ำ, 
- การอุดหนุนและกำแพงทางการค้า 

พวกเราเชื่อว่าปัญหาเหล่านี้ เป็นปัญหาที่มีความสำคัญที่สุดในโลก คำถามสำคัญที่ควรต้องถาม ก็คือ พวกคุณคิดว่า ปัญหาอะไรสำคัญที่สุด? เราควรเริ่มต้นที่ไหนในการแก้ไขปัญหา? แต่ นั่นเป็นการถามปัญหาที่ผิด และเป็นปัญหาจริงๆ ที่ถูกถาม เมื่อครั้งประชุมที่ดาโวส ในเดือนมกราคม

แต่ปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าเราถามผู้เข้าร่วมประชุมให้พิจารณาที่ตัวปัญหา เพราะเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ แน่นอนว่า ปัญหาที่มีความสำคัญที่สุดที่เรามี ก็คือ เราทุกคนต้องตาย แต่เราไม่มีเทคโนโลยีที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว จริงไหมครับ? ดังนั้น ประเด็นจึงไม่ใช่การจัดลำดับปัญหา แต่ควรเป็นการจัดลำดับทางเลือกในการแก้ไขปัญหา แน่นอน นั่นย่อมทำให้อะไรๆยุ่งยากขึ้นอีกเล็กน้อย

สำหรับการเปลี่ยนแปลงภาวะโลกร้อน การแก้ไขก็อาจจะเป็น เกียวโตโปรโตคอล

สำหรับโรคติดต่อ ก็อาจจะแก้โดยการเพิ่มคลินิคสุขภาพ หรือ มุ้งกันยุง

สำหรับความขัดแย้ง, อาจใช้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ เป็นต้น

สิ่งที่ผมอยากจะขอให้คุณลองทำ คือภายในเวลา 30 วินาที - และผมรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ -- ขอให้เขียนสิ่งที่คุณคิด อาจเป็นบางอย่างที่มีความสำคัญมาก และแน่นอนว่า นี่คือจุดที่ทำให้หลักเศรษฐศาสตร์กลายเป็นเหมือนสิ่งที่ชั่วร้าย เขียนดูครับว่าอะไรคือปัญหาที่เราไม่ควรแก้เป็นอันดับแรก อะไรควรจะจัดเป็นปัญหาลำดับสุดท้ายของรายการ โปรดใช้เวลา 30 วินาที

คุณลองคุยกับเพื่อนข้างๆ ก็ได้ และเขียนลงไปครับว่า ปัญหาใดควรอยู่ในลำดับบนของรายการ และทางออกของปัญหาที่จัดอยู่ลำดับท้ายๆของรายการ ของปัญหาสำคัญๆ ของโลกหลายปัญหา

ส่วนที่น่าประหลาดใจของกระบวรการนี้ ซึ่งแน่นอน ผมหมายถึง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยาก (จะให้เวลาคุณอีกนิด) -- แต่ผมมีเพียง 18 นาทีเท่านั้น ผมได้ให้เวลาที่สำคัญของผมสำหรับทุกท่านแล้ว ใช่ไหมครับ? ผมจะไปต่อนะครับ และชวนคุณให้คิดเกี่ยวกับกระบวนการนี้ และจริงๆ นั่นคือสิ่งที่เราได้ทำกันแล้ว และผมยังสนับสนุนคุณเต็มที่ ผมมั่นใจว่า เราจะได้อภิปรายกันต่อหลังจากนี้ ว่า พวกเราจะจัดลำดับความสำคัญของปัญหาเหล่านี้จริงๆได้อย่างไร? แน่นอน คุณต้องถามตัวเองว่า ทำไมที่ผ่านมาการจัดลำดับความสำคัญแบบนี้ถึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน?

เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ การจัดลำดับความสำคัญเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครอยากทำ เพราะแน่นอนว่า ทุกองค์กรหวังที่จะขึ้นไปอยู่ลำดับต้นๆ ของรายการ และ ทุกองค์กรก็ไม่ชอบถ้าตัวเองจะไม่ได้ขึ้นอยู่ในลำดับต้นๆเช่นกัน และเนื่องจาก หลายๆปัญหาจะไม่ได้ขึ้นไปนั่งแท่นเบอร์หนึ่งของรายการปัญหานี้ มากกว่าจำนวนปัญหาที่จะถูกจัดเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้ตรรกกะนี้ถูกต้อง ว่าเราจะไม่อยากจัดลับดับรายการขึ้นมา เรามีสหประชาชาติมากว่า 60 ปีแล้ว

แต่เราไม่เคยทำรายการพื้นฐาน เกี่ยวกับสิ่งสำคัญที่เราสามารถทำให้แก่โลกใบนี้ และบอกว่าอะไร คือสิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้กำลังจัดลำดับการตัดสินใจใดๆ คือ การลำดับความสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่า เรายังคงลำดับความสำคัญอยู่ แต่เป็นการจัดลำดับโดยนัย ซึ่งก็ไม่น่าจะดีเท่ากัย ถ้าเราได้จัดลำดับความสำคัญจริงๆจังๆ เข้าไปถึงแก่นและถกถึงมันจริงๆ

ดังนั้น สิ่งที่ผมกำลังเสนอจริงๆ ก็คือการบอกว่า เราอยู่ในสถานการณ์ที่เรามีเมนูทางเลือกมานาน เห็นๆได้ว่า มีหลายๆอย่างที่พวกเราสามารถทำได้ แต่เราไม่ได้ตีทั้งมูลค่าและขนาดของประโยชน์ พวกเราไม่ได้มีความคิดอย่างนั้น ลองคิดดูว่าถ้าคุณไปร้านอาหารและได้รับรายการอาหารละลานตา

แต่คุณยังคงนึกไม่ออกว่า มันราคาเท่าไร เหมือนกับ คุณต้องการพิชซ่า แต่ไม่รู้ว่าราคาเท่าไร มันอาจจะแค่ 1 ดอลล่าร์ หรือ 1,000 ดอลล่าร์ มันอาจเป็นพิชซ่าขนาดครอบครัว หรืออาจเป็นขนาดที่ทานคนเดียว ใช่ไหมครับ? พวกเราอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้

และนั่นเป็นสิ่งที่ที่การประชุมประชามติที่โคเปนเฮเกนพยายามจะทำกัน พยายามที่จะระบุต้นทุนของเรื่องต่างๆ พูดง่ายๆว่า ในที่ประชุมประชามติที่โคเปนเฮเกน พวกเรามีนักเศรษฐศาสตร์สุดยอดของโลก 30 คน สาขาละ 3 คน ดังนั้น พวกเราจึงมีนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก 3 คน ที่เขียนเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เราสามารถทำอะไรได้บ้าง? อะไรคือต้นทุน? และอะไรคือประโยชน์ที่จะได้? เข่นเดียวกัน สำหรับโรคติดต่อ เราก็ได้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ช่วยระบุว่า เราสามารถทำอะไรได้บ้าง? และราคาที่มากับการแก้ปัญหาคือเท่าไร? เราควรทำอะไรเกี่ยวกับมัน ผลลัพธ์จะเป็นอะไร? เป็นต้น

แล้วเราก็เคยมีนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกบางท่าน นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก 8 ท่าน รวม 3 ท่านที่เคยได้รับรางวัลโนเบิล มาประชุมร่วมกันที่โคเปนเฮเกน ในเดือนเมษายน ปี'47 เราเรียกพวกเขาว่า ทีมในฝัน เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยเคมบริจจ์ เรียกพวกเขาว่า รีล เมดริทแห่งเศรษฐศาสตร์ ซึ่งฟังดูเข้าท่าที่ยุโรป แต่อาจจะใช้ไม่ได้ในที่นี่

สิ่งที่พวกเขาทำโดยคือ เขาจัดลำดับรายการความสำคัญ ซึ่งอาจทำให้คุณถามว่าทำไมถึงใช้นักเศรษฐศาสตร์? แน่นอนว่า ผมดีใจมากที่จะตอบคำถามนี้ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นคำถามที่ดีมาก ประเด็นคือ แน่นอน ถ้าคุณต้องการรู้เกี่ยวกับมาลาเรีย คุณต้องถามผู้เชี่ยวชาญด้านมาลาเรีย ถ้าคุณต้องการรู้เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ คุณต้องถามผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ แต่ ถ้าคุณต้องการรู้ว่าสองอย่างนี้ คุณควรจัดการกับเรื่องใดก่อน คุณไม่สามารถถามผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนได้ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาทำ นั่นเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ทำ เขาจัดลำดับความสำคัญ เขาทำในสิ่งที่จะเรียกว่าน่ารังเกียจก็ว่าได้ เพื่อที่จะบอกเราว่า เราควรทำสิ่งใดก่อน และควรทำสิ่งใดในภายหลัง

นี่คือบัญชีรายการ ซึ่งคือสิ่งที่ผมอยากแชร์กับคุณ แน่นอน คุณสามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ทางเว็บไซท์ และผมมั่นใจว่าพวกเราจะได้พูดถึงมันมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ง่ายๆคือ พวกเขาได้จัดทำบัญชีรายการขึ้นมา ซึ่งพวกเขาจำแนกประเภท โครงการที่ไม่ได้เรื่อง ซึ่งเรียกว่า เป็นโครงการ ที่ถ้าคุณลงทุนลงไปหนึ่งดอลล่าร์ คุณจะได้เงินกลับคืนมาน้อยกว่าหนึ่งดอลล่าร์ และมีโครงการที่พอใช้ได้ โครงการที่ดี และโครงการที่ดีมาก และแน่นอน โครงการที่ดีมากควรเป็นโครงการที่เราเริ่มทำก่อน ผมจะเริ่มไล่จากหลังไปหน้า เพื่อที่เราจะได้จบลงด้วยโครงการที่ดีที่สุด

ส่วนโครงการที่ไม่ดี

คุณอาจเห็นที่บรรทัดล่างๆ ของรายการ ว่าเป็น

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 

ซึ่่งอาจขัดความรู้สึกของคนจำนวนมาก และ นั่นอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ หลายคนกล่าวว่า ผมไม่ควรกลับมา และผมอยากจะกล่าวถึงเรื่องนั้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆ ทำไมมันถึงถูกจัดลำดับรายการเช่นนี้? และผมจะพยายามย้อนกลับไปยังรายการ เพราะว่า บางทีมันอาจเป็นอย่างหนึ่ง ที่พวกเราไม่เห็นด้วยเมื่อเทียบกับรายการที่คุณลำดับเอาไว้

เหตุผลที่ว่าทำไม พวกเขาจึงได้กล่าวว่า เกียวโตโปรโตคอล หรือการทำบางอย่างที่มากกว่าเกียวโตโปรโตคอล ไม่คุ้มนั้น เหตุผลง่ายๆ คือเพราะมันไม่มีประสิทธิภาพ นี่ไม่ได้หมายความว่า ภาวะโลกร้อนไม่ได้กำลังเกิดขึ้น หรือไม่ได้หมายความว่า มันไม่ใช่ปัญหาขนาดใหญ่ แต่มันกำลังบอกเราว่า สิ่งที่เราสามารถแก้ไขได้ในตอนนี้ นั้นน้อยมาก แต่ต้องใช้ต้นทุนที่สูงมาก

สิ่งที่เขาพยายามจะอธิบายกับพวกเรา จริงๆแล้วคือค่าเฉลี่ยของโมเดลเศรษฐศาสตร์มหภาค ของเกียวโตโปรโตคอล ซึ่งถ้าทุกคนเห็นด้วย ต้องลงทุนประมาณ 1 แสน 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี นั่นคือจำนวนเงินมหาศาล มากกว่าเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาถึง 2-3 เท่า ที่พวกเราให้แก่ประเทศโลกที่สามในแต่ละปี แต่จะทำประโยชน์ได้เพียงเล็กน้อย ทุกโมเดลชี้ว่า จะสามารถเลื่อนผลกระทบจากโลกร้อนออกไปได้อีก 6 ปี นับจากปี 2643 ดังนั้นชาวบังคลาเทศที่จะถูกน้ำท่วมในปี 2643 สามารถรอได้ถึงปี 2649 ซึ่งมีประโยชน์ แต่ไม่ได้ให้ประโยชน์มาก ดังนั้นสิ่งที่ความคิดนี้กำลังบอกกับเราก็คือ เราต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อทำสิ่งที่ให้ประโยชน์เล็กน้อย

และเพื่อให้คุณได้เปรียบเทียบ ว่าสหประชาชาติประมาณไว้ว่า ด้วยเพียงครึ่งเดียวของจำนวนเงินข้างต้น คือประมาณ 7 หมื่น 5 พันล้านเหรีญสหรัฐต่อปี พวกเราจะสามารถแก้ไขปัญหาหลักขั้นพื้นฐานในโลกนี้ได้ทั้งหมด เราจะสามารถจัดหาน้ำดื่มที่สะอาดได้ ระบบสุขาภิบาล และอนามัยพื้นฐาน และให้ศึกษาแก่มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้

เพราะฉะนั้นเราต้องถามตัวเองว่า เราต้องการใช้เงินเพิ่มเป็น 2 เท่า เพื่อทำสิ่งที่ได้ประโยชน์เล็กน้อยหรือ? หรือจะใช้เงินแค่ครึ่งหนึ่ง เพื่อทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายมหาศาล และนั่น คือ เหตุผลจริงๆ ว่าทำไมมันถึงเป็นโครงการที่ไม่ดี

ซึ่งผมไม่ได้จะบอกว่า ถ้าพวกเรามีเงินทั้งหมดในโลกนี้ เราจะไม่ทำอะไร แต่ผมกำลังบอกว่า เพราะเราไม่มีเงินทั้งหมดในโลก การแก้ปัญหาโปรเจ็คที่ไม่คุ้มค่าต่อต้นเงินที่ลงไปจึงไม่สมควรจัดอยู่เป็นลำดับต้นๆ

โครงการที่พอใช้้

สังเกตว่าผมจะไม่ได้พูดถึงโปรเจคทั้งหมด แต่อย่างเรื่อง

โรคติดต่อ, 


ขนาดของการบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน 

ติดเข้ามาอย่างเฉียดฉิว เพราะสเกลของการบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง มันจะให้ประโยชน์อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ต้นทุนสูง ผมขอย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่รายการความสำคัญบอกกับเราทันทีคือ เราต้องเริ่มคิดถึง ปัจจัยทั้งสองข้างของสมการ ถ้าเรามองโครงการที่ดี เราก็จะได้โครงการเกี่ยวกับระบบสุขาภิบาลและน้ำสะอาด

ผมขอย้ำว่า สุขาภิบาลและน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก แต่ ต้นทุนของมันเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก

เพราะฉะนั้นผมจะแสดงให้เห็นถึงสิ่งสำคัญ 4 อันดับแรก ซึ่งอย่างน้อยควรเป็นสิ่งแรกๆ ที่เราจะจัดการแก้ไข เมื่อเวลาที่เราพูดว่า เราควรจัดการอย่างไรกับปัญหาทั้งหลายในโลกใบนี้

ปัญหาสำคัญลำดับที่ 4 คือ มาลาเรีย 

วิธีจัดการกับมาลาเรีย คนกว่า 2 ล้านคนติดเชื้อมาลาเรียทุกปี มันอาจใช้เงินมากถึง 1% ของ GDP ของประเทศที่ได้รับผลกระทบในแต่ละปี ถ้าเราลงทุนประมาณ 1 หมื่น 3 พันล้านเหรียญสหรัฐใน 4 ปีข้างหน้า เราสามารถลดอัตราการติดเชื้อของโรคลงถึงครึ่งหนึ่ง เราสามารถหลีกเลี่ยงมิให้ผู้คน 500,000 คนต้องตายไป

แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น คือ เราสามารถป้องกันไม่ให้คน 1 พันล้านคน ต้องติดเชื้อในทุกๆ ปี เราจะสามารถเพิ่มความสามารถของเขาให้มากขึ้น เพื่อจัดการกับปัญหาอื่นๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญ แน่นอนว่า ในระยะยาวพวกเขาก็ต้องผจญกับภาวะโลกร้อน

สิ่งสำคัญอันดับสาม คือ การค้าเสรี 

โดยพื้นฐานแล้ว โมเดลแสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเปิดการค้าเสรี โดยเฉพาะการตัดการอุดหนุนในสหรัฐอเมริกาและในยุโรป เราสามารถทำให้เศรษฐกิจโลกคึกคักมีชีวิตชีวา อย่างน่าประหลาดใจเป็นจำนวนเงินถึง 2 ล้าน 4 แสนล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ครึ่งของเงินจำนวนนี้จะตกกับโลกที่สาม

ผมย้ำอีกครั้งว่า ประเด็นคือ เราสามารถช่วยเหลือคน 2 - 300 ล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน อย่างรวดเร็ว ภายใน 2-5 ปี นั่นคือสิ่งสำคัญลำดับที่สามที่เราควรทำ

สิ่งสำคัญอันดับที่สอง คือ เรื่องภาวะขาดแคลนอาหาร 

ไม่ใช่ภาวะขาดแคลนอาหารโดยทั่วไป แต่มีแนวทางที่ถูกมากๆ ในการจัดการกับปัญหานี้ กล่าวคือ

การขาดแร่ธาตุอาหาร 

โดยคร่าวๆ ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกกำลังขาด ธาตุเหล็ก สังกะสี ไอโอดีน และวิตามิน เอ ถ้าเราลงทุนประมาณ 1 หมื่น 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างจริงจัง นั่นคือสิ่งสำคัญสิ่งที่สองที่เราควรสามารถลงทุนได้

และ

โครงการที่ดีที่สุด คือ เรื่องเอชไอวี/เอดส์ 

โดยพื้นฐาน ถ้าเราจ่ายเงิน 2 หมื่น 7 พันล้านเหรียญดอล์ล่าร์สหรัฐ ใน 8 ปีข้างหน้า เราจะสามารถป้องกันผู้ติดเชื้อรายเอชไอวี/เอดส์รายใหม่ได้ถึง 28 ล้านคน ขอย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่การจัดลำดับความสำคัญทำคือ เรามี 2 แนวทางที่แตกต่างกันมากที่เราจะสามารถใช้แก้ปัญหาเอชไอวี/เอดส์ได้ หนึ่ง คือ การรักษา และสอง คือ การป้องกัน ย้ำอีกครั้งว่า ถ้าเป็นไปได้ เราอยากทำทั้ง 2 แนวทาง

แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถทำได้ทั้ง 2 แนวทาง หรือ ไม่สามารถทำได้ดีทั้งคู่ เพราะฉะนั้น อย่างน้อยเราควรต้องถามตัวเองว่า เราควรลงทุนในแนวทางไหนก่อน ซึ่งการลงทุนในด้านการรักษานั้น แพงกว่าการป้องกันมาก

ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่เราให้ความสำคัญ คือ สิ่งที่เราสามารถทำได้มากกว่า ซึ่งก็คือการลงทุนในการป้องกัน สำหรับจำนวนเงินที่เราใช้ เราสามารถทำได้จำนวน X ที่เป็นประโยชน์ทางการรักษา แต่ในการป้องกัน เราสามารถทำได้มากกว่า 10 เท่า ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าการรักษา ในขั้นแรก

นี่คือการทำให้เราเริ่มคิดจริงๆถึงการจัดลำดับความสำคัญ ผมอยากให้ทุกคน มองไปที่รายการที่คุณจัดลำดับไว้และบอกว่า คุณจัดได้ถูกต้องไหมครับ? หรือใกล้เคียงกับที่เราทำด้วยกันไปเมื่อสักครู่รึเปล่า? แน่นอนครับว่า ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นประเด็นยอดนิยม ผมพบว่า มีคนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยว่าปัญหาภาวะโลกร้อนควรอยู่รั้งท้าย

พวกเราควรจัดให้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มีเหตุผลอื่นใด อย่างน้อยก็เพราะว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ยักษ์

แต่แน่นอน ที่พวกเราไม่สามารถแก้ไขได้ทุกปัญหา โลกเรามีปัญหามากมาย และสิ่งที่ผมต้องการยำ้อีกครั้งก็คือ ถ้าพวกเราให้ความสนใจกับปัญหา อย่าลืมคิดว่าเรากำลังให้ความสำคัญกับปัญหาที่ควรให้ความสำคัญหรือเปล่า

สิ่งหนึ่ง คือ เราทำสิ่งที่จะให้ประโยชน์อย่างมาก มากกว่า สิ่งที่เราทำประโยชน์ให้ได้น้อย และผมคิดว่า -- โทมัส ชิลลิ่ง หนึ่งในสมาชิกของทีมในฝัน เขาพูดไว้อย่างเยี่ยมยอด สิ่งหนึ่งที่เรามักลืมไปคือใน100 ปี ที่เราพูดถึงผลกระทบที่มากที่สุดที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชาชนจะยิ่งรวยขึ้น แม้แต่

ภาพอนาคตของผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด จากงานของสหประชาชาติ ประมาณไว้ว่า ในปี 2643 ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา จะร่ำรวยมากขึ้นเท่าๆกับที่พวกเรามีในทุกวันนี้ และก็มีความเป็นไปได้สูงว่า พวกเขาจะรวยกว่าพวกเราในปัจจุบันถึง 2-4 เท่า และแน่นอน พวกเราจะรวยยิ่งไปกว่านั้นอีก

แต่ประเด็นคือ เมื่อเราพูดถึงการรักษาชีวิตผู้คน หรือการช่วยเหลือชาวบังคลาเทศในปี 2643 เราไม่ได้พูดกันถึงคนจนในบังคลาเทศ จริงๆ แล้ว เรากำลังพูดถึงชาวดัชท์ที่อยู่ดีมีกิน ดังนั้น แก่นของประเด็นนี้คือ เราอยากจะใช้เงินจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือคนจำนวนน้อย เช่น ชาวดัชท์ที่มีฐานะ ในช่วง100ปีต่อจากนี้? หรือ เราต้องช่วยเหลือคนจนจริงๆ ณ เวลานี้ ที่บังคลาเทศ?

จริงๆ แล้ว ใครคือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และใครที่เราสามารถช่วยเหลือได้ในค่าใช้จ่ายราคาไม่มาก หรือ เหมือนกับที่ชิงลิ่งเสนอไว้ว่า ลองนึกภาพว่า ถ้าคุณเป็นคนรวย ไม่ว่าคุณจะเป็นเศรษฐีจีน เศรษฐีชาวโบลิเวีย หรือ เศรษฐีชาวคองโก ในปี2643 ให้คิดย้อนกลับไปปี2548 และพูดว่า

มันแปลกแค่ไหนที่เขาได้รับความสนใจมากขนาดนี้ เพื่อช่วยเหลือฉันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และห่วงใยพอสมควรต่อการช่วยเหลือปู่ของฉัน และ ทวดของฉัน ก็เป็นคนที่พวกเขาสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างมาก ใครกันแน่ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง?

และผมคิดว่า มันจะบอกกับเราตรงๆว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น เราต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง แม้ว่ามันจะไม่เป็นไปตามภาพปกติที่เรามองเห็นปัญหา แน่นอน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแสดงภาพที่ชัดเจน อย่าง The Day After Tomorrow ที่เยี่ยมมาก ใช่ไหมครับ?

มันเป็นหนังที่ให้ภาพที่แจ่มชัด แน่นอนว่าผมก็ต้องการดูเช่นกัน แต่อย่าหวังว่าเอ็มเมริช จะเอาแบรด พิทท์มาเล่นหนังของเขาในเรื่องหน้า ให้ขุดถังส้วมในแทนซาเนีย หรือทำอะไรประมาณนั้น (หัวเราะ)

มันไม่ให้อารมณ์พอที่จะสร้างเป็นหนัง ดังนั้นในหลายๆทาง ผมคิดถึงการประชุมประชามติที่โคเปนเฮเกน และการอภิปรายทั้งหมดเกี่ยวกับลำดับความสำคัญ ว่าเป็นการป้องกันตัวเองของปัญหาที่น่าเบื่อ เพื่อทำให้เรามั่นใจว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ไม่ได้แค่ให้เรารู้สึกดี มันไม่ใช่แค่การทำในสิ่งที่สื่อให้ความสำคัญเป็นส่วนใหญ่ แต่มันเป็นเรื่องของการที่เราสามารถประโยชน์อย่างมากที่สุด ในที่ๆต้องการเรามากที่สุด

สำหรับข้อโต้แย้งอื่นๆ ที่ผมคิดว่ามีความสำคัญที่จะต้องพูดถึง ก็คือ ไม่ว่าจะผม หรือพวกเรา ต่างกำลังนำเสนอตัวเลือกที่ผิด แน่นอน เราควรทำทุกๆ อย่าง ในโลกในฝัน -- ซึ่งผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผมคิดว่า พวกเราควรทำทุกอย่าง

แต่พวกเราทำไม่ได้ ในปี2513 ประเทศที่พัฒนาแล้วได้ตัดสินใจว่าเราควรต้องใช้เงิน เป็น 2 เท่าของที่เรากำลังใช้จริงในปัจจุบันแก่ประเทศกำลังพัฒนา นับตั้งแต่นั้นมาเงินช่วยเหลือของพวกเราก็ถูกแบ่งครึ่ง ดังนั้น จริงๆแล้ว เราไม่ได้อยู่บนแนวทาง ของการแก้ไขปัญหาใหญ่ๆทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนยังพูดว่า แล้วเรื่องสงครามอิรักล่ะ? คุณรู้หรือเปล่า พวกเราใช้เงินไป 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทำไมเราจึงไม่เอาเงินจำนวนนี้ไปทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ให้กับโลก? นั่นเป็นคำถามที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้ามีใครในที่นี้สามารถคุยกับบุชให้ทำสิ่งนี้ได้ จะเยี่ยมมาก

แต่แน่นอน ประเด็นที่ยังเป็นที่กล่าวถึงคือ ถ้าคุณมีอีกสัก 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เรายังต้องการใช้มันเพื่อทางเลือกที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่? ดังนั้นประเด็นที่แท้จริง คือ พวกเราต้องคิดใหม่ ว่าอะไรคือการลำดับความสำคัญที่ถูกต้อง

ผมควรถามอีกนิดว่า นี่คือ ลำดับที่เราพูดถึงนี้ มันถูกต้องจริงๆหรือเปล่า? อย่างที่คุณรู้ว่า เมื่อเราถามนักเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลก เราก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถามชายอเมริกันแก่ผิวขาว และเขาก็ไม่จำเป็นว่าจะรู้จัก วิธีมองเห็นโลกทั้่งใบในแง่ความเป็นจริง

ดังนั้น พวกเราจึงเชิญคนหนุ่มสาว80คนทั่วโลก มาเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาเดียวกัน ผู้ร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติเพียง 2 ประการ

1) คือ กำลังศึกษามหาวิทยาลัย และ 


2) พูดภาษาอังกฤษ 

โดยส่วนใหญ่พวกเขามาจากประเทศกำลังพัฒนา พวกเขาต่างมีสิ่งของแบบเดียวกัน แต่พวกเขาสามารถมีได้มากขึ้นไปอีก นอกเหนือไปจากขอบเขตการอภิปราย และสิ่งที่พวกเขาได้ทำ คือ การออกแบบรายการความสำคัญของพวกเขาเอง และที่น่าแปลกใจก็คือลำดับรายการมีความคล้ายคลึงอย่างมาก

สิ่งสำคัญในระดับต้นๆ คือ ภาวะขาดแคลนอาหารและโรคติดต่อต่างๆ 

ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นรั้งลำดับท้ายๆ พวกเราได้ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง ทั้งจากการสัมมนากับนักศึกษามหาวิทยาลัยและสัมมนากับกลุ่มต่างๆ พวกเขาต่างจัดรายการที่เหมือนกันมากๆ และนั่นทำให้ผมมีความหวังอย่างมาก จริงๆนะครับ

ผมเชื่อว่า มีหนทางเบื้องหน้าที่จะทำให้เราเริ่มคิดเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญ และบอกว่า อะไร คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโลกใบนี้? ผมย้ำอีกทีว่า แน่นอนว่าเราอยากทำทุกๆเรื่อง แต่ ถ้าพวกเราทำไม่ได้ เราควรเริ่มคิดว่าเราควรจะเริ่มจากเรื่องอะไร?

ผมมองการประชุมประชามติโคเปนเฮเกนว่าเป็นขั้นหนึ่ง ที่เราทำในปี 2547 และพวกเราหวังว่าจะสามารถรวบรวมคนจำนวนมากขึ้นให้เข้าร่วม ซึ่งจะทำให้เรามีข้อมูลที่ดีขึ้น สำหรับปี 2551 และ 2555 เพื่อชี้แนวทางที่ถูกต้องสำหรับโลกใบนี้ และเรายังต้องเริ่มคิดถึงเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วย เริ่มคิดที่จะพูดว่า อย่าทำในเรื่องที่เราทำได้น้อย แต่มีต้นทุนสูง อย่าทำในเรื่องที่เราไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่ลงมือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่เราสามารถจะทำได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ในต้นทุนต่ำ เดี๋ยวนี้

สุดท้ายแล้ว คุณอาจไม่เห็นด้วย กับการอภิปรายแนวทางการจัดลำดับความสำคัญนี้ แต่เราจะต้องซื่อสัตย์และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้ามีบางอย่างที่เราทำ ก็จะมีอีกหลายอย่างที่เราไม่ได้ทำ ถ้าเราห่วงใยอย่างมากเกี่ยวกับบางอย่าง เราจะเลิกกังวลในเรื่องอื่นๆ ผมหวังว่าสิ่งที่ผมนำเสนอจะช่วยพวกเราจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น และคิดว่าเราจะทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างไรสำหรับโลกใบนี้ ขอบคุณครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. บางที ดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้ อาจจะกำลังนับถอยหลังสู่การ RESETตนเอง ดังเช่นเมื่อยุคไดโนเสาร์ ก้อเป็นได้

    ตอบลบ

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget