สัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันได้ทำงานร่วมกับผู้บริหารที่มุ่งมั่นในการพัฒนาดูแลทีมงานโดยมีระบบ Mentor หรือผู้ชี้แนะและให้คำปรึกษา แก่ ท่านผู้บริหารจากอีกหลายองค์กร จึงพร้อมใจกันแสดงความสงสัย แล้วทำไมต้องประคับประคองน้องๆเหมือนของบอบบางปานนั้น ทุ่มเททั้งทรัพยากร ทั้งคนสอนงาน คนชี้แนะ พร้อมพรั่ง จ้างน้องเขามา ก็น่าจะช่วยเรา ไม่ใช่ทำตัวเป็นภาระหนักหน่วง ให้เราห่วงหน้าพะวงหลัง
ท่านผู้บริหารตอบโดนใจว่า การที่เราทุ่มเทดูแลทีมงาน ถือเป็นการ “ได้กับได้” เพราะเป็นการ “ช่วยเขา ให้เขาช่วยเรา” ถือเป็นการให้ เพื่อได้ร่วมกันในระยะยาว
หากได้ฝั่งเดียว เดี๋ยวก็หงุดหงิดใส่กัน ไม่ยั่งยืน เพราะย่อมไม่มีใครอยากอยู่ในฐานะที่คิดว่าถูกเอาเปรียบนานๆ หากมีที่ไป ต่างคงแยกย้าย ทางใครทางมัน
ท่านผู้บริหารท่านอื่นยังกังขา แล้วเรามีหัวหน้าที่ทำหน้าที่ Coach แล้ว ต้องมีใครมาวุ่นวายอีกหรือ
เราจึงสรุปกันถึงความแตกต่างระหว่าง Coach และ Mentor
ความต่างที่สำคัญคือ คนหนึ่งสอน “งาน” คนหนึ่งสอน “ทาง”
Coach ในที่ทำงาน มีบทบาทหลักคล้ายโค้ชกีฬา ที่ทั้งสอนทั้งสั่ง เพื่อให้ลูกทีมเรียนรู้และเพิ่มทักษะในภารกิจที่ทำ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ประสบความสำเร็จในงาน
ผลคือ คนทำงาน “เก่ง”
บทบาทหลักของ Mentor คือ ช่วยให้คนคิดทะลุ โดยมองภาพใหญ่ เนื้องานถือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะชีวิตคนทำงาน ต้องมีปัจจัยสำคัญอื่นๆประกอบ ไม่ว่าจะเป็นการวางตน รู้หนทางเติบโต ตลอดจนแกร่งพอที่จะแก้อุปสรรคที่ต้องประสบ โดย Mentor จะทำหน้าที่เป็นคู่คิด เป็นที่ปรึกษา ชี้แนะวิถีทางสู่ความสำเร็จในชีวิตมืออาชีพ
ผลคือ คนทำงาน “เป็น”
ดังนั้น Mentor หลายครั้งจึงอาจไม่ใช่หัวหน้างานโดยตรง แต่เป็นพี่ที่อาวุโสท่านอื่น หรือในบางกรณี มี Mentor จากภายนอกองค์กรก็ทำได้ ไม่ผิดกติกา
คนทำงาน “เก่ง” แต่ทำไม่ “เป็น” เข้าที่ไหนวงมักแตก หรือทำตัวแปลกแยก เก่งคนเดียว พฤติกรรมกร้าวกร่างสร้างแต่ศัตรู หรือในทางตรงข้าม สู้ไม่เป็น เห็นอุปสรรคแล้วท้อ หงอหงิม ยามที่ต้องรุก ก็ขอรับ ยามที่ต้องรับ กลับถอยไม่เป็นกระบวน
คนที่ทำงานเป็น คือ คนที่รู้กาละ และเทศะ รู้หนัก รู้เบา รู้เร็ว รู้ช้า ตามสถานการณ์ แกร่งโดยไม่จำเป็นต้องกร้าว อ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ ชาญฉลาดในการแก้อุปสรรค ทั้งรู้ตัวตนว่าเป็นคนอย่างไร มีจุดอ่อนที่ไหน อนาคตอยากก้าวไปจุดใด
การที่คนหนึ่งคนจะทั้งเก่งและเป็น จะละเลงเล่นเองก็คงพอไหว แต่ต้องใช้เวลา ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด เพราะขาดประสบการณ์ หลายครั้งต้องแลกด้วยน้ำตากว่าจะถึงเส้นชัย
นอกจากนั้น ยังมีคนทำงานจำนวนไม่น้อยที่ไปได้ไม่ไกล เพราะสะดุดตอองค์กรก่อนวัยอันควร หรือ หลบตอพ้น แต่ สะดุดขาตนเอง เพราะหลงตัวลืมตัวจนคนเอือมระอา
ท่านผู้บริหารท่านนี้ เล่าถึงสิ่งที่ได้จากการจัด Mentor ให้ลูกทีม ว่าท่านได้ คนทำงานที่นอกจาก “เป็น” แล้ว ยังมีความรู้สึกดีๆว่าหัวหน้าและองค์กรใส่ใจดูแล มิใช่แค่ใช้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
ได้คน “เป็น” ที่มีมุมมองทั้งสมดุลย์และกว้างไกล พร้อมทุ่มเทให้ เพราะประโยชน์ที่ได้ มีทั้งต่อตัวเอง ต่อทีม และ องค์กร ในที่สุดก็เป็นคนมีคุณภาพ คืนกลับให้สังคม
ท่านผู้อ่านที่ยังไม่มีใครจัด Mentor มาเคียงคู่ให้
ไม่ต้องกลัวนะคะ
เพียงกล้าลุกขึ้นไปแสวงหา...จัดเองได้ ไม่ต้องรอง้อใครค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น