หน่อไม้..ไซยาไนด์ สารพิษร้ายใกล้ตัว

13 ม.ค. 2558
โดยไทยรัฐ เมื่อ 17 ก.ค.2555

ไซยาไนด์...สารพิษชนิดนี้ร้ายแค่ไหน

“สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปหลายล้านคน ก็เพราะถูกรมด้วยก๊าซพิษไซยาไนด์นี่แหละ”

นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยถึงพิษร้ายเฉียบพลันของไซยาไนด์ ที่คนยุคนี้อาจจะห่างเหินไม่ค่อยคุ้นเคย

แม้มีพิษร้ายแรง แต่ก็เป็นสารที่มีประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลายประเภท ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ไนลอน เส้นใยอะครีลิก เรซิน แยกแร่ทองคำ ชุบโลหะด้วยไฟฟ้า ทำโลหะให้บริสุทธิ์ รวมทั้งใช้เป็นยาปราบศัตรูพืชทั้งหลาย

นั่นเป็นสารพิษที่ใช้อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรม ผู้คนทั่วไปยากจะได้พบสัมผัส

แต่ยังมีไซยาไนด์อีกชนิด ใกล้ตัว ใกล้ปากคนไทย...ไซยาไนด์ที่ธรรมชาติซุกซ่อนไว้ในพืชผล

เมล็ดถั่วอัลมอนด์ มันสำปะหลัง ข้าวฟ่าง รวมทั้งหน่อไม้

พืชสำคัญที่คนไทยนิยมบริโภคเป็นอาหารมากเป็นพิเศษ ใช้ทั้งในการต้ม ผัด แกง จิ้มน้ำพริก...อุดมไปด้วยไซยาไนด์ เอามากินดิบๆ มีสิทธิ์เจ็บป่วยและตายได้

“ความร้ายแรงของไซยาไนด์ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นที่ได้รับ ถ้าได้รับในปริมาณเข้มข้นแบบที่ใช้สังหารหมู่ชาวยิว จะเสียชีวิตทันทีแบบไม่ทันรู้ตัว

แต่ถ้าได้รับจากการกินพืชที่มีไซยาไนด์ในปริมาณเล็กน้อย อาการเริ่มต้นระดับแรกจะรู้สึกปวดหัว หายใจยาก ความดันโลหิตต่ำ มึนงง หมดสติ และถ้าได้รับในปริมาณที่มากถึง 1.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะมีผลทำให้เสียชีวิต

เนื่องจากไซยาไนด์จะเข้าไปจับเกาะธาตุเหล็กในกระแสเลือด ทำให้ธาตุเหล็กไม่สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ เซลล์สมองจะหยุดการทำงาน และคนที่ได้รับพิษในปริมาณมาก การเสียชีวิตจะมีลักษณะเหมือนคนเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ”

ถึงพืชเหล่านี้จะมีไซยาไนด์ที่ทำให้คนตายได้ก็ตาม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ย้ำว่า อันตรายนี้มีเฉพาะในกรณีที่กินแบบดิบๆ เท่านั้น ถ้าทำให้สุกก่อนจะไม่มีปัญหา เพราะไซยาไนด์สามารถกำจัดได้ด้วยความร้อน

“ใครที่เคยรับประทานต้มจืดซี่โครงหมูกับหน่อไม้ไผ่ตง ถ้าคนปรุงอาหารทำแบบต้มหน่อไม้แล้วไม่ยอมทิ้งน้ำแรก เราซดน้ำต้มจืดเข้าไปแล้ว รสชาติจะรู้สึกขมเฝื่อนๆ นั่นแหละรสชาติที่มีไซยาไนด์เจือปนอยู่

ถ้าต้มหน่อไม้ให้สุกแล้วทิ้งน้ำแรก รสชาติขมเฝื่อนของไซยาไนด์จะหายไป”

แต่เดิมนั้นในวงการแพทย์รู้กันอยู่แล้ว ในหน่อไม้นั้นมีไซยาไนด์ แต่ไม่เคยรู้ว่าในหน่อไม้ที่คนไทยนิยมบริโภคนั้น มีไซยาไนด์มากขนาดไหน...เพิ่งจะมาสนใจอย่างจริงจังเมื่อปี 2550

ด้วย 21 ก.ค. 2550 เกิดเหตุการณ์คนงานพลัดตกลงไปในบ่อหมักหน่อไม้ดองของโรงงานใน ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี...ทั้งคนงานที่พลัดตกลงไปและคนที่ลงไปช่วย หมดสติพร้อมกันถึง 8 ราย เสียชีวิตไป 2 คน

ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่า บ่อหมักหน่อไม้ดองเป็นที่อับไม่มีที่ระบายอากาศ ออกซิเจนมีน้อย และน่าเป็นที่สะสมของก๊าซพิษหลายชนิด ทั้งก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือที่รู้จักว่าก๊าซไข่เน่า ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน จึงทำให้คนหมดสติและเสียชีวิต

แต่เมื่อหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียด จึงได้รู้ว่า ก๊าซพิษที่ทำให้เสียชีวิตและหมดสตินั้นคือ...แก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ ที่มาจากตัวหน่อไม้นั่นเอง

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงลงมือศึกษาไซยาไนด์ในหน่อไม้...เก็บตัวอย่างหน่อไม้ที่คนไทยบริโภค จำนวน 496 ตัวอย่าง จากพื้นที่ทั่วประเทศ 31 จังหวัด

เป็น

หน่อไม้สด 199 ตัวอย่าง, 
หน่อไม้ดอง 149 ตัวอย่าง และ
หน่อไม้ต้ม 148 ตัวอย่าง
และเมื่อนำมาตรวจวิเคราะห์ในห้องทดลอง พบว่า...หน่อไม้สด ทั้ง 149 ตัวอย่าง มีปริมาณไซยาไนด์ เฉลี่ยอยู่ที่ 167 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม

โดยมีค่าต่ำสุดอยู่ที่ 18 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ขึ้นไปจนสูงสุดมีค่าอยู่ที่ 943 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม แต่ต่างไปตามสายพันธุ์และพื้นที่เพาะปลูก

หน่อไม้ดองมีปริมาณไซยาไนด์เฉลี่ย 41.1 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม...โดยมีค่าต่ำสุด-สูงสุด อยู่ที่ 10-261 มิลลิกรัม ต่อ 1กิโลกรัม

ส่วนหน่อไม้ต้มมีปริมาณไซยาไนด์ เฉลี่ย 19.2 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม...มีค่าต่ำสุด-สูงสุด อยู่ที่ 10-92 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม

และเมื่อนำข้อมูลการบริโภคอาหารของคนไทย จัดทำโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ที่ระบุว่า คนไทยที่รับประทานหน่อไม้ต้ม รับประทานเฉลี่ยวันละ 126.6 กรัม มาร่วมวิเคราะห์หาว่าคนไทยได้รับไซยาไนด์ในระดับอันตรายแค่ไหน

ที่ FAO และ WHO กำหนดให้ปริมาณการได้รับสารไซยาไนด์ในแต่ละวันได้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม...ถ้าคนมีน้ำหนักตัว 60 กก. ต้องได้รับไซยาไนด์วันละไม่เกิน 3 มิลลิกรัม

คนไทยน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 60 กก. รับประทานหน่อไม้ต้มวันละ 126.6 กรัม หรือวันละ 1 ขีดนิดๆ จะได้รับไซยาไนด์ประมาณ 2.43 มิลลิกรัม ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย...ร่างกายสามารถขับออกปัสสาวะได้หมด

แต่สำหรับคนที่อยู่ในกลุ่มชอบกินหน่อไม้มากเป็นพิเศษ ตามข้อมูลการบริโภคอาหารของคนไทย คนกลุ่มนี้รับประทานหน่อไม้ต้มมากถึงวันละ 283.5 กรัม หรือ วันละกว่า 2 ขีด...จะได้รับไซยาไนด์ 5.44 มิลลิกรัมต่อวัน

ถือเป็นระดับอันตรายที่สูงกว่าค่ามาตรฐานมากถึง 1.8 เท่า

แต่ตัวเลขความปลอดภัย ความเสี่ยงของการกินหน่อไม้นี้ วัดจากการกินหน่อไม้ต้มซึ่งมีค่าไซยาไนด์ต่ำกว่าหน่อไม้ดองและหน่อไม้สด ที่สำคัญยังเป็นตัวเลขจากค่าเฉลี่ยเท่านั้น...หน่อไม้ต้มบางพันธุ์มีค่าไซยาไนด์สูงกว่าค่าเฉลี่ย

จึงยังไม่อาจที่จะระบุได้ชัดว่า หน่อไม้สด-ดอง-ต้ม ที่ขายในท้องตลาดแบบไหน พันธุ์ไหนควรจะบริโภคเท่าไรถึงจะห่างไกลไซยาไนด์ได้มาตรฐาน

ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยที่แน่นอนที่สุด นพ.บุญชัย แนะ ไม่ว่าจะหน่อไม้สด-ดอง-ต้ม และไม่ว่าจะซื้อจากที่ไหนมาก็ตาม ให้นำไปต้มก่อนเป็นดีที่สุด

เพราะการศึกษาพบว่า ถ้านำไปต้มในน้ำเดือด 10 นาที ไซยาไนด์ที่ซุกอยู่ในหน่อไม้จะหายไป 91% ต้ม 20 นาที ไซยาไนด์จะหายไป 98%...และถ้า 30 นาที ไซยาไนด์จะเกลี้ยงไม่มีเหลือ

ต้มนานกลัวจะเละไป ไม่ถูกปาก...10 นาที มีไซยาไนด์หลงเหลือบ้าง แต่รับรองปลอดภัยได้มาตรฐานชัวร์.
Read more ...

ขับรถต้องหยุดให้คนข้ามบริเวณทางม้าลาย

11 ม.ค. 2558
เมื่อ 12 ม.ค.2558

มีข้อกฎหมายมาฝาก เพื่อให้ปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นอีกด้วย

1. ผู้ขับรถที่ไม่หยุดรถให้คนข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

2. คนข้ามถนนที่ไม่ใช้ทางม้าลาย หรือ สะพานลอย ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท
Read more ...

บก.ลายจุด ชวนทำงานช่วยเหลือผู้อื่น

11 ม.ค. 2558

โดยเฟซบุ๊ค สมบัติ บุญงามอนงค์ เมื่อ 3 ม.ค.2558

ที่มูลนิธิกระจกเงา

สำหรับคนที่อยากทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น ให้มาทำงานเป็นอาสาสมัครเตรียมอาหารให้กับคนเร่ร่อนในทุกวันจันทร์

หรืออาสาสมัครยกของ ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ดีมาก ๆ ครับ 
Read more ...

4 ความจริงที่คนเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ไม่กลับมาเล่าให้คุณฟัง

9 ม.ค. 2558
โดย http://www.dodeden.com/58473.html

เจ้าของ Blog CookieCoffee ที่ปรึกษาด้าน Online Marketing ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ทำงานตั้งแต่สมัยเรียนปี 2 เพื่อจ่ายค่าเทอม ค่าห้อง และต่อมาก็ซื้อรถเองตอนปี 4 ก่อนจะลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนปีสุดท้าย ลองไปดูมุมมองที่น่าสนใจของเขากันดูนะครับ…

ผมนั่งอยู่ Starbucks และ “Steve Jobs กับ Bill Gates ก็เรียนไม่จบ” คือบทสนทนาที่ต้องได้ยินในร้านนี้เสมอ จนผมสงสัยว่าพวกเขาเชื่อจริงๆ รึว่า “ที่ Gates กับ Jobs ประสบความสำเร็จก็เพราะสองคนนี้เรียนไม่จบ”

แน่นอนว่าผมไม่เคยปกปิดเรื่องที่ตัวเองลาออกจากมหา’ลัย และเรื่องที่ผม “เกิดมายากจน”

แต่ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยแนะนำให้ใครเลิกเรียน

ตรงกันข้าม ผมเคยจ่ายค่าเทอมให้เด็กที่ไม่มีเงินเรียนแบบไม่หวังอะไรตอบแทนเลยมา 2 คนแล้ว

ในฐานะที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ผมมี 4 ข้อที่อยากฝากไว้ จากประสบการณ์ตรง…

1. Jobs & Gates ไม่ได้รวยเพราะเรียนไม่จบ

บางคนเชื่อแบบนั้นจริงๆ หรือไม่ก็ถูกหลอกด้วยการใช้ Logic ที่ผิด ทุกคนรู้ว่า “Bill Gates ก็เรียนไม่จบ”

แต่ไม่ค่อยทราบกันครับว่า Gates สอบติด Harvard ด้วยตัวเองและ Gates ก็สอบผ่านปี 1 ด้วยเกรดสูงมากโดยที่ไม่ได้เข้า Class เลย ก่อนจะเริ่มสร้าง Computer และก่อตั้งก้าวแรกของ Microsoft ตอนเรียนปี 2

ในสายตาผม Bill Gates เก่งในระดับที่ “เรียนจบแล้วตั้งแต่เข้ามหา’ลัย” จะเรียนจบหรือไม่ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความเก่งของ 2 คนนี้

2. ผมเคยถูกปฏิเสธงานเพราะไม่มีวุฒิ / ใบปริญญา

หลายปีก่อน มีผู้ใหญ่ในบริษัทฝรั่งระดับ Top 10 เคยชวนผมไปสมัครงานโดยที่เขาไม่ทราบว่าผมเรียนไม่จบ ..ก็ส่ง Resume ไป แต่ถูกคัดทิ้งในรอบสุดท้ายด้วย 2 เหตุผล

คือแผนก HR กลัวว่าคนที่ไม่มีวุฒิกระทั่งปริญญาตรีจะคุมงานเด็กที่จบโทไม่ได้

และอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งผมชอบมาก (แม้มันจะทำให้ไม่ได้งานนั้นก็ตาม) คือ “คุณอาจเป็นคนเก่งก็จริง แต่ทุกคนที่มาสมัครงานที่บริษัทเราก็เก่งเท่าๆ กับคุณ โดยที่มีพวกเขาใบปริญญาติดมาด้วย”

มาทราบทีหลังว่าการมีใบปริญญามันสะดวกทั้งเวลาเลื่อนตำแหน่ง หรือขึ้นเงินเดือน และคนที่จะรับผมเข้าทำงานโดยไม่มีวุฒิก็ต้องรับความเสี่ยง ต่อการถูกระดับบริหารถามว่าทำไมเลือกคนนี้ ?

3. และผมก็เคยคัดคนมาสัมภาษณ์ แน่นอนว่าผมดูที่ใบปริญญาก่อน

มีอยู่ทีที่ผมไปช่วย Consult ด้าน Online Marketing ให้ ฺBrand ใหญ่และสุดท้ายต้องหาใครสักคนมาทำงานแทนในฐานะพนักงานประจำ จึงต้องช่วยทางบริษัทนั้นคัด Resume มาอ่านเพื่อเรียกคนมาสัมภาษณ์ และผมก็ดูทั้งชื่อมหา’ลัย เกรด และกิจกรรมที่ทำสมัยเรียน

เหตุผลก็เหมือนข้อ 2

เกรดในมหา’ลัยอาจบอกได้ว่าคุณชอบเรียนวิชาอะไร ทำไมถึงเข้าคณะนี้ มีความรับผิดชอบแค่ไหน

คนที่ไม่มีใบปริญญาก็อาจจะถูกเรียกมาสัมภาษณ์ได้ แต่ต้อง “เหนือกว่าผู้สมัครทุกคน” แบบทิ้งห่างจริงๆ

ซึ่ง Gates & Jobs ทำได้ แต่จะมีสักกี่คนบนโลกที่ทำได้แบบ 2 คนนี้ ?

4. ความขี้เกียจเป็นอภิสิทธิ์ของ Genius

ทุกวันนี้ผมไม่เข้าร้านหนังสือไทย เพราะในนั้นเต็มไปด้วย “How To รวยด้วยหุ้นใน 3 นาที” หรือไม่ก็ “นอนทั้งวันก็รวยได้ด้วย Passive Income” ซึ่งก็มั่นใจได้ว่า 8 ใน 10 เล่มจะต้องเริ่มต้นคำนำด้วยประโยคว่า “Steve Jobs กับ Bill Gates ก็เรียนไม่จบ” ..ย้อนกลับไปอ่านข้อ 1 ใหม่อีกที

เดี๋ยวนี้ผมเจอเยอะมาก คนสมัยใหม่ที่ “โง่” ไม่พอ แต่ยังเลือก “ขี้เกียจ” เพิ่มเข้าไป ด้วยข้ออ้างว่า “Steve Jobs กับ Bill Gates ก็เรียนไม่จบ”

โลกไม่เคยบอกหรอกครับในบรรดาคนที่ลาออกจากมหา’ลัย 10 ล้านคน มีชีวิตอย่างไรกันบ้าง

โลกใบนี้รู้จักก็แค่ 2 ใน 10,000,000 คนที่ประสบความสำเร็จ นั่นคือ Jobs และ Gates โดยลืมไปว่ามีอีก 9,999,998 คนนอนอยู่ข้างถนนและไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีข้าวกินหรือไม่ มีชีวิตต่อไปอย่างไร ?

แต่ 9,999,998 คนที่ว่า ไม่ได้กลับมาเล่าให้คุณฟัง มันก็เท่านั้นเอง
Read more ...

Coaching ให้สำเร็จ ต้องเริ่มจากความสัมพันธ์ที่ดี

8 ม.ค. 2558

ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / กุมภาพันธ์ 24, 2011

พูดถึงเรื่องของการสอนงาน (Coaching) ในปัจจุบันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บริษัทส่วนใหญ่พยายามพัฒนาให้หัวหน้างานและผู้จัดการมีทักษะในการสอนงานลูกน้องตนเอง แต่ถ้าจะถามว่าสำเร็จสักแค่ไหน อันนี้ก็คงจะยังไม่มากนักที่จะมีบริษัทที่หัวหน้างานทุกคนเป็น coach ที่ดี และสามารถสอนงานลูกน้องตนเองได้อย่างดี

หัวหน้างานเองก็ถูกพร่ำสอนว่า จะต้องเป็น Coach ที่ดี และมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาและสอนงานลูกน้องเพื่อให้ลูกน้องมีผลงานที่ดีขึ้น แต่ในทางปฏิบัตินั้น สำเร็จแค่เพียง 15% เท่านั้น แล้วอีก 85% ล่ะทำไมถึงไม่สำเร็จ สาเหตุที่เกิดขึ้นก็คือ หัวหน้างานมักจะไม่ค่อยชอบสอนงานลูกน้องตนเอง และบางคนก็ไม่อยากสอนด้วยซ้ำไป ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก งานที่รัดตัว และไม่มีเวลาที่จะมานั่งสอนงาน บางส่วนก็คิดว่าตนเองสอนงานแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ทำแค่เพียงการวางแผนและควบคุมติดตามเท่านั้น ไม่ได้ทำหน้าที่สอนงานอย่างจริงๆ จังๆ เลยสักนิด

มีงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งทำขึ้นโดยบริษัท CO2 Partners ซึ่งสอบถามพนักงานที่ทำงานในบริษัทต่างๆ ด้วยคำถามที่ว่า “ใครที่คุณจะไปปรึกษาหารือด้วยถ้าเกิดปัญหาในงานของตนเอง?” คำตอบที่ได้มีดังนี้ครับ


งานวิจัยนี้บอกเราว่า พนักงานส่วนใหญ่ไม่ค่อยที่จะไปหารือกับหัวหน้างานของตนเองเลย เวลาที่มีปัญหาในการทำงาน แต่กลับไปปรึกษาหารือกับคนอื่นมากกว่า มีเพียงแค่ 10% จากผู้ตอบทั้งหมด 100% ที่บอกว่าไปคุยกับหัวหน้างานของตนเอง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบที่ได้มามีดังนี้ครับ

- ไม่อยากให้หัวหน้ารู้ว่าเราทำไม่ได้

- หัวหน้าเราอาจจะไม่รู้คำตอบก็ได้ เพราะขนาดเรายังไม่รู้เลย

- หัวหน้าของเราดูเหมือนทำงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา และเขาคงไม่มีเวลาที่จะมาช่วยเราแน่นอน

- หัวหน้างานไม่ชอบฟังให้จบ และมักจะบอกว่า ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย

- ต้องการคนที่เข้าใจปัญหาจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงรับฟังปัญหาแค่แป๊ปๆ แล้วก็บอกเราว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง

โดยสรุปรวมแล้ว ผู้ทำวิจัยบอกว่า ปัญหาที่ทำให้พนักงานไม่มาปรึกษาหารือเรื่องงานกับหัวหน้าก็คือ การขาดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันครับ พอขาดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็จะขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน พอขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน คราวนี้จะพูดอะไร หรือจะสอนอะไร ก็ไม่สำเร็จแล้วครับ เพราะต่างคนต่างก็ไม่ฟังกันแล้ว ลูกน้องก็ไม่อยากฟังนายสอน นายก็บอกว่าลูกน้องไม่อยากให้สอน ก็เลยไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก

ดังนั้นจากงานวิจัยข้างต้น ถ้าเราจะนำเอาผลมาใช้ในทางปฏิบัติ ก็แปลว่า ถ้าจะให้องค์กรของเรามีการสอนงานที่ประสบความสำเร็จอย่างจริงจังนั้น ก็ต้องเริ่มต้นที่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องกันก่อนเลย และคนที่จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็คือ “หัวหน้า” นี่แหละครับ จะให้ลูกน้องเข้าหาก่อนก็คงจะยาก การที่เราเป็นหัวหน้างานนั่นก็แปลว่าเราจะต้องทำให้ลูกน้องอยากทำงานให้เรา ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จุดนี้ต้องใช้เวลามากในบางคน แต่สำหรับหัวหน้างานบางคนนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเขาเลยก็มี จะเห็นว่าหัวหน้างานแบบนี้ ลูกน้องมักจะเข้าหาและมีเรื่องมาปรึกษาหารืออยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว

เมื่อความสัมพันธ์ดีขึ้น การสอนงานก็จะประสบความสำเร็จ เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน และรู้ว่าแต่ละฝ่ายนั้นต้องการอะไร มีเจตนาอย่างไร

จะเห็นได้ชัดเลยว่า ในบางบริษัทนั้นเสียเงินค่าฝึกอบรมหัวหน้างานในเรื่องของการสอนงานไปมากมาย เพื่อจะที่จะทำให้หัวหน้างานสอนงานลูกน้องเป็น มีการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ในการสอนงานมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ สาเหตุก็คือ การขาดความสัมพันธ์ที่ระหว่างกันนี่แหละครับ

ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นมุ่งเน้นในเรื่องของการสอนงาน เราควรจะเริ่มต้นจากการสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดีระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องเสียก่อนครับ ให้หัวหน้างานได้เรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดี และสร้างความไว้วางใจจากลูกน้องของตน เมื่อไรที่มีจุดนี้แล้ว คราวนี้ไม่ใช่แค่การสอนงานนะครับ เรื่องอื่นๆ ก็จะดีตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงจูงใจ การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ฯลฯ ก็จะเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เลยครับ
Read more ...

ข้าวแกงแม่แจ๊ด 10 บาท ขวัญใจคนบ้านดอนเซ่ง จ.ราชบุรี

6 ม.ค. 2558

โดยข่าวสด เมื่อ 5 ม.ค.2558

พะโล้ แกงมะระ แกงคั่วหน่อไม้ ผัดพริกแกงถั่ว กุนเชียงทอด ไก่ทอด และปลาทอดกรอบ เป็นเมนูประจำวัน ที่

นางสะอาด แซ่ล้อ หรือแม่แจ๊ด

ตั้งใจประกอบอาหารเหล่านี้ขึ้น พร้อมบรรจงตักราดข้าวให้กับลูกค้าได้รับประทานในราคาเพียง 10 บาทเท่านั้น

นางสะอาด แซ่ล้อ หรือ แม่แจ๊ด เจ้าของร้านข้าวแกง 10 บาท แห่ง

บ้านดอนเซ่ง อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี 

เล่าว่า ตนเองเปิดร้านขายข้าวแกงมาตั้งแต่ปี 49 แต่เดิมขายในราคา 5 บาท ต่อมาคนในครอบครัวที่เป็นเรี่ยวแรงช่วยเหลือได้พากันเสียชีวิต ทำให้ร้านข้าวแกงต้องหยุดขายไประยะหนึ่ง ส่วนลูกๆ ก็ไปทำงานกันหมด ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง กินข้าวคนเดียว เหงามาก

กระทั่งมีเพื่อนบ้านที่เป็นชาวสวน นำผักนานาชนิดมาให้รับประทานเป็นประจำ จึงมีความคิดที่จะกลับมาขายข้าวแกงอีกครั้ง เพียงเพราะอยากให้มีคนมานั่งทานข้าวและได้พูดคุยด้วย ซึ่งทางด้านเพื่อนบ้านและขาประจำส่วนใหญ่จะเป็นขวัญใจ 10 ล้อ เมื่อรู้ว่าแม่แจ๊ดจะกลับมาขายข้าวแกงอีกก็เห็นดีเห็นงามด้วย พร้อมกับช่วยเหลือนำพืชผักมาให้เป็นวัตถุดิบประกอบอาหารเป็นประจำ และยังช่วยกันบอกต่อปากต่อปาก จนมีลูกค้ากลับเข้ามารับประทานกันแน่นร้านเหมือนเช่นเดิมในเวลาอันรวดเร็ว

แม่แจ๊ด แม่ค้าใจดีกล่าวต่อว่า ปัจจุบันจำใจต้องปรับราคาเล็กน้อยเพราะวัตถุดิบประเภทเนื้อสัตว์ที่แพงขึ้น โดย

ข้าวราดกับ 1 อย่าง ราคา 10 บาท, 
2 อย่าง 15 บาท และ 
3 อย่าง 20 บาท 

ซึ่งจะตักข้าวให้ลูกค้าแบบจานเดียวอิ่มไม่ต้องต่อจานที่ 2 กันเลยทีเดียว ส่วนลูกค้าที่ให้การอุดหนุนจะเป็นเด็กนักเรียน แม่บ้าน ผู้ใช้แรงงาน พนักงานในโรงงาน และแฟนขาประจำกลุ่มคนขับรถบรรทุก ที่จะแวะเวียนมารับประทานกันมาก ยิ่งช่วงตอนเที่ยงวัน ริมถนนในละแวกใกล้ร้านจะมีรถบรรทุกมาจอดยาวทั้งสองฟากฝั่งถนน เพื่อมารับประทานอาหารฝีมือแม่แจ๊ด

และที่พิเศษกว่าร้านข้าวแกงทั่วไป คือ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มารับประทาน จะจ่ายค่าอาหารเกินกว่าราคาที่รับประทาน โดยไม่ขอรับเงินทอน เนื่องจากต้องการให้แม่แจ๊ดนำเงินทอนเป็นต้นทุนในการซื้อหาวัตถุดิบทำข้าวแกงขายต่อไป ทั้งนี้จะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยให้ได้ทานอาหารอย่างเพียงพอ จึงเปรียบเสมือนว่า ร้านข้าวแกงแห่งนี้ ไม่ได้อยู่ด้วยผลกำไรด้านเงินตรา แต่อยู่ด้วยน้ำใจไมตรีของคนไทยที่มีต่อกันอย่างไม่เสื่อมคลาย
Read more ...

"เนย์มาร์" เปิดสถาบันเรียนรู้เพื่อเด็กยากจน

4 ม.ค. 2558

โดยไทยพีบีเอส เมื่อ 23 ธ.ค.2557

เนย์มาร์ เปิดตัวสถาบัน เนย์มาร์ จูเนียร์ เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนยากจนได้มีโอกาสศึ­กษาเล่าเรียนและเล่นฟุตบอล 
Read more ...

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget