Martin Seligman is the founder of positive psychology, a field of study that examines healthy states, such
เมื่อสมัยที่ผมเป็นประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน เขาพยายามฝึกให้ผมออกสื่อ ทีนี้ มันมีการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของผมกับซีเอ็นเอ็น ซึ่งสรุปเรื่องที่ผมกำลังจะพูดวันนี้ได้ดีทีเดียว นั่นคือ
"เหตุผลข้อ 11 ที่เราควรมองโลกแง่ดี"
บรรณาธิการนิตยสารดิสคัพเวอร์บอกเรามาแล้ว 10 ข้อ ผมจะบอกข้อที่ 11 ให้
ตอนนั้นพิธีกรของซีเอ็นเอ็นมาหาผมแล้วบอกว่า "ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ อาจารย์เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมคะว่าศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง? เราอยากสัมภาษณ์อาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้" ผมบอกว่า "ดีเลยครับ" แล้วเธอก็บอกว่า "แต่นี่เป็นรายการของ CNN เราจะตัดคำพูดอาจารย์ไปออกสั้นๆ นะคะ" ผมเลยถามว่า "แล้วผมพูดได้กี่คำล่ะ?" เธอตอบว่า "คำเดียวค่ะ"
(เสียงหัวเราะ)
แล้วกล้องก็เดิน แล้วเธอก็ถามว่า "ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?"ดี"
(เสียงหัวเราะ)
"ตัดออกๆ ใช้ไม่ได้ เราคงต้องให้เวลาอาจารย์ยาวขึ้นนะ""แล้วคราวนี้ผมพูดได้กี่คำล่ะ?" "สองคำค่ะ" ด็อกเตอร์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ? "ไม่ดี"
(เสียงหัวเราะ)
"เอ่อ ด็อกเตอร์เซลิกแมนคะ เราเข้าใจแล้วค่ะ ว่าอาจารย์ไม่ค่อยถนัดกับสื่อรูปแบบนี้จริงๆ เราให้เวลาอาจารย์มากขึ้นแล้วกัน คราวนี้อาจารย์พูดได้สามคำค่ะ ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ? "ไม่ดีพอ" และนี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะพูดวันนี้
ผมอยากพูดว่าทำไมจิตวิทยาจึงดี ทำไมมันจึงไม่ดี แล้วภายในสิบปีข้างหน้า มันจะดีพอได้อย่างไร และด้วยบทสรุปที่คล้ายกัน ผมอยากพูดแบบเดียวกันเกี่ยวกับเทคโนโลยีวงการบันเทิง และการออกแบบ เพราะผมคิดว่าประเด็นมันเหมือนกันมาก
เอาล่ะ ทำไมสถานะของจิตวิทยาถึงดี คือ จิตวิทยาศึกษาวิจัยมนุษย์ภายใต้โมเดลของโรคมามากกว่าหกสิบปี สิบปีที่แล้ว เวลาผมอยู่บนเครื่องบิน แล้วแนะนำตัวกับคนที่นั่งข้างๆ บอกเขาว่าผมมีอาชีพอะไร เขาจะย้ายที่หนีผมเลยครับเพราะว่าคนเขาพูดกัน ซึ่งก็ถูกนะครับ ว่าจิตวิทยาคือการค้นหาว่าคุณผิดปกติยังไง คือ "ค้นหาคนบ้า" ว่างั้นเถอะ แต่เดี๋ยวนี้ เวลาผมบอกใครว่าผมทำงานอะไร เขาจะขยับเข้ามาหาผม
อีกอย่างที่ดีเกี่ยวกับจิตวิทยา กับเงินสามหมื่นล้านดอลล่าร์ที่สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (NIMH) ลงทุนไปกับการศึกษาวิจัยภายใต้โมเดลของโรค กับสิ่งที่คุณเรียกกันว่าศาสตร์จิตวิทยาเนี่ย ก็คือ 60 ปีที่แล้ว ไม่มีโรคทางจิตประเภทใดเลยที่รักษาได้ มันเหมือนปริศนาของมายากลที่ไม่มีใครเข้าใจเลย แต่ตอนนี้ มี 14 โรคที่รักษาให้ดีขึ้นได้ ซึ่ง 2 โรคในนั้นรักษาให้หายขาดได้
และอีกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือ ศาสตร์นี้ก้าวหน้าไปมาก ศาสตร์เกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตน่ะครับ เราพบว่า เราสามารถหยิบมโนทัศน์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า การติดเหล้า เอามาวัดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และเราก็สามารถจำแนกแยกแยะและจัดหมวดหมู่อาการป่วยทางจิต เราสามารถเข้าใจสาเหตุของอาการป่วยทางจิต เราสามารถศึกษาคนคนเดียวกันข้ามช่วงเวลา เช่น คนที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่เสี่ยงจะเป็นโรคจิตเภท แล้วตั้งคำถามว่าการเลี้ยงดูกับพันธุกรรมมีผลมากน้อยแค่ไหน เราสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ โดยศึกษาอาการป่วยทางจิตด้วยวิธีการทดลอง
และที่เยี่ยมที่สุด คือ ในห้าสิบปีที่ผ่านมา เราสามารถคิดค้นสร้างยาและวิธีการรักษาอาการป่วยทางจิต และเราก็สามารถทดสอบมันได้อย่างเที่ยงตรง ด้วยการทดลองที่มีการสุ่มเข้ากลุ่มและมีกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้ยาหลอก อะไรที่ไม่ได้ผลก็ทิ้งไป อะไรที่ได้ผลดีก็เก็บไว้
และข้อสรุปก็คือ ศาสตร์จิตวิทยาและจิตเวชในหกสิบปีที่ผ่านมา สามารถประกาศได้ว่าเราทำให้คนที่ทุกข์เพราะเจ็บป่วยเขาทุกข์น้อยลง และผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ผมภูมิใจมาก แต่สิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเป็นผลจากเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไป มีอยู่สามอย่าง
อันดับแรกเลยคือ
เรื่องคุณธรรม
นักจิตวิทยาและจิตแพทย์กลายเป็นผู้ศึกษาเรื่องเหยื่อที่ทำให้คนอื่นกลายเป็นเหยื่อ หรือผู้ตัดสินว่าใครเจ็บป่วย มุมมองของเราต่อธรรมชาติของมนุษย์กลายเป็นว่า ถ้าคุณมีปัญหา แปลว่าคุณโชคร้าย เราลืมไปว่าคนเราเลือกและตัดสินใจนะครับ เราลืมความรับผิดชอบของมนุษย์ไป นั่นเป็นปัญหาข้อแรก
ปัญหาข้อที่สอง คือ
เราลืมผู้คนอย่างพวกคุณไปเลย
เราลืมเรื่องการยกระดับชีวิตของคนปกติ เราลืมภารกิจในการทำให้คนที่ไม่ได้มีปัญหาเขามีความสุขมากขึ้น มีชิวิตที่เติมเต็ม และเป็นประโยชน์มากขึ้น แล้วคำว่า"อัจฉริยะ" "พรสวรรค์" กลายเป็นคำหยาบ ไม่มีใครศึกษาเรื่องพวกนี้
และ
ปัญหาข้อที่สามของจิตวิทยาภายใต้โมเดลของโรค คือ
เมื่อเรารีบเร่งที่จะทำอะไรสักอย่างกับคนที่มีปัญหา ในความรีบเร่งที่จะซ่อมแซมความเสียหายนั้น เราไม่เคยคิดจะสร้างระบบหรือวิธีการอะไร ที่จะทำให้คนมีความสุขมากขึ้น เราไม่สร้างวิธีการที่จะพัฒนาด้านบวกของมนุษย์
นั่นแหละที่ผมมองว่าจิตวิทยานั้นไม่ดี และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนอย่าง
แนนซี เอตคอฟ,
แดน กิลเบิร์ต,
ไมค์ ชิคเซนมิฮาย และ
ตัวผมเอง
มาเริ่มศึกษาสิ่งที่ผมเรียกว่า จิตวิทยาเชิงบวกซึ่งมีเป้าหมายสามอย่าง
ข้อแรก คือ จิตวิทยาควรให้ความสำคัญ กับจุดแข็งของมนุษย์เช่นเดียวกับที่ใส่ใจในจุดอ่อน มันควรจะมุ่งสร้างเสริมความแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับที่มุ่งซ่อมแซมข้อบกพร่อง ควรจะให้ความสนใจกับสิ่งดีๆ ทั้งหลายในชีวิต และควรใส่ใจกับการทำให้ชีวิตของคนปกติธรรมดาเติมเต็มมากขึ้น ให้ความสนใจกับอัจฉริยะ และการบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษด้วย
ดังนั้น ใน 10 ปีที่ผ่านมา และในความหวังของผมที่มีต่ออนาคต เราได้เห็นการเริ่มต้นของศาสตร์ จิตวิทยาเชิงบวกศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า เราพบว่าเราสามารถวัดความสุขได้ในหลากหลายรูปแบบ คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์นั้น
(www.authentichappiness.org)
แล้วลองทำแบบทดสอบมากมายเกี่ยวกับความสุขได้ฟรี คุณคงสงสัยว่า เราจะวัดอารมณ์ทางบวก ความหมายในชีวิต และภาวะที่จิต มีสมาธิจดจ่อเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ทำ (flow) ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนับหมื่นๆ ได้ยังไง? เราได้สร้างสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคู่มือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต คือ ระบบจัดประเภทจุดแข็งและคุณธรรมของมนุษย์ที่แยกแยะเปรียบเทียบระหว่างเพศ พร้อมด้วยคำนิยาม และวิธีวินิจฉัย อะไรที่สร้าง และอะไรที่ขัดขวางมัน เราพบว่าเราสามารถค้นพบสาเหตุของภาวะแง่บวกต่างๆ ได้ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในสมองซีกซ้าย กับกิจกรรมในสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความสุข
ผมเองเคยใช้เวลาทั้งชีวิตศึกษาคนที่ทุกข์สุด ๆ โดยตั้งคำถามว่า คนที่ทุกข์สุด ๆ เขาแตกต่างจากคนอื่นทั่วไปอย่างไร? เพิ่งมาหกปีหลังนี้เอง ที่เราเริ่มถามถึงคนที่มีความสุขสุดๆ ว่าเขาแตกต่างจากพวกเราทั้งหมดอย่างไร? แล้วก็ปรากฏว่า มีความแตกต่างอยู่อย่างเดียว เขาไม่ได้เคร่งศาสนามากกว่า ไม่ได้สุขภาพดีกว่า ไม่ได้มีเงินมากกว่า ไม่ได้รูปร่างหน้าตาดีกว่า ไม่ได้มีเรื่องดีๆ ในชีวิตมากกว่า และมีเรื่องร้ายๆ ในชีวิตน้อยกว่า สี่งที่เขาแตกต่างจากเรา คือ
เขามีความสัมพันธ์ทางสังคมดีมากๆ
เขาไม่นั่งมาอยู่ในงานสัมมนาตอนเช้าวันเสาร์แบบนี้ (เสียงหัวเราะ) เขาไม่ใช้เวลาอยู่คนเดียว แต่ละคนมีความรัก และมีเพื่อนเยอะมาก
แต่เราต้องระวังในการตีความนะครับ นี่เป็นข้อมูลแบบสหสัมพันธ์ ซึ่งไม่ได้บอกสาเหตุ และที่ผมพูดถึงมันก็เป็นความสุขในความหมายแบบฮอลลีวู้ด คือ ความสุขสนุกสนาน หัวเราะ ร่าเริงเบิกบาน อีกเดี๋ยวผมจะบอกคุณว่าความสุขแบบนี้มันยังไม่เพียงพอ เราพบว่า เราสามารถสืบค้นวิธีสร้างสุขที่มีคนเสนอไว้ย้อนหลังไปหลายศตวรรษ ตั้งแต่
พระพุทธเจ้า
มาจนถึง
โทนี ร็อบบินส์
มีผู้เสนอวิธีกว่า 120 วิธีที่ว่ากันว่าจะทำให้ผู้คนมีความสุข และเราก็พบว่า เราสามารถสร้างคู่มือของวิธีการเหล่านั้นได้ แล้วเราก็ไปทำการทดลองที่มีการสุ่มคนเข้ากลุ่มทดลองต่างๆ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวิธีสร้างสุขเหล่านี้ ว่าวิธีไหนทำให้คนมีความสุขอย่างยั่งยืนกว่า อีกสักครู่ผมจะใช้เวลาสองสามนาทีเล่าผลการวิจัยบางส่วนให้คุณฟัง
แต่ข้อสรุปสุดท้ายก็คือ ภารกิจที่ผมอยากให้ศาสตร์จิตวิทยานำไปปฏิบัติ นอกจากการรักษาคนที่เจ็บป่วยทางจิตนอกจากการช่วยให้คนที่ทุกข์เขาทุกข์น้อยลงแล้ว คือ
จิตวิทยาจะช่วยให้คนมีความสุขมากขึ้นได้ไหม?
และการตั้งคำถามนี้ -- ที่จริงผมไม่ค่อยใช้คำว่าความสุขเท่าไหร่นักนะครับ -- เราต้องแยกแยะความสุขออกมาเป็นแง่มุมต่างๆ ที่เราสามารถตั้งคำถามได้ ซึ่งผมเชื่อว่าความสุขมันมีอยู่สามแง่มุมที่แตกต่างกัน ที่ผมว่ามันต่างก็เพราะมันสร้างได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน และเราอาจจะมีอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น ในบรรดาชีวิตที่มีความสุขสามแบบนั้น
แบบแรก คือ
ชีวิตที่รื่นรมย์
นี่คือชีวิตที่คุณมีอารมณ์ทางบวกมากเท่าที่จะเป็นไปได้ และมีทักษะที่จะเพิ่มอารมณ์ทางบวกเหล่านั้นด้วย
แบบที่สอง คือ
ชีวิตที่ได้ทุ่มเท เอาใจจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง
เช่นตอนที่คุณใช้เวลากับงาน พ่อแม่ คนรัก งานอดิเรก แล้วรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่งเพื่อคุณนั่นคือความสุขแบบที่อริสโตเติลพูดถึง และ
แบบที่สาม คือ
ชีวิตที่มีความหมาย
ทีนี้ ผมอยากพูดถึงชีวิตที่มีความสุขแต่ละแบบ และสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับมันสักหน่อย
ชีวิตที่มีความสุขแบบแรก คือ
ชีวิตที่รื่นรมย์ มีความสนุกสนานมากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ เป็นชีวิตที่มีสิ่งตอบสนองความเพลิดเพลินมากเท่าที่คุณต้องการ มีอารมณ์ทางบวกมากเท่าที่คุณจะมีได้ รวมทั้งเรียนรู้ทักษะที่จะดื่มด่ำ มีสติจดจ่อ ซึ่งจะเพิ่มความเข้มข้น และแผ่ขยายอารมณ์ทางบวกนั้นออกไปข้ามกาลเวลาและสถานที่ แต่ชีวิตที่รื่นรมย์ก็มีแง่ลบอยู่สามอย่าง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจิตวิทยาเชิงบวกจึงไม่ใช่วิชาว่าด้วยความสุขและไม่ได้จบแค่ตรงนี้
ปัญหาข้อแรกคือ ปรากฏว่าชีวิตที่รื่นรมย์ และประสบการณ์อารมณ์ทางบวกของคุณนั้น ส่วนหนึ่งเป็นมรดกทางพันธุกรรม 50 เปอร์เซ็นต์เป็นอิทธิพลจากพันธุกรรม และก็ไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายนัก ดังนั้น เทคนิคหลากหลายที่แมทธิเออ (ริการ์) กับผม และคนอื่นๆ มีอยู่ สำหรับการเพิ่มปริมาณอารมณ์ทางบวกในชีวิตของคุณ ก็ช่วยเพิ่มขึ้นมาได้ 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นอารมณ์เดิมเท่านั้น ปัญหาข้อสองคือ เราจะชินชากับอารมณ์ทางบวก ซึ่งจะเกิดขึ้นเร็วมากเลย ก็เหมือนไอศครีมรสเฟรนชวนิลา คำแรกอร่อย 100 เปอร์เซ็นต์พอถึงคำที่หก รสชาติมันก็งั้นๆ แล้ว และอย่างที่ผมบอก มันไม่ใช่สิ่งที่แก้กันได้ง่ายๆ ด้วย
ซึ่งประเด็นนี้ก็นำไปสู่
ปัญหาที่สอง
ผมต้องเล่าเรื่องเล็น เพื่อนของผม ให้คุณฟัง เพื่ออธิบายว่าทำไมจิตวิทยาเชิงบวกจึงมีอะไรมากกว่าอารมณ์ทางบวก มากกว่าการสร้างความสนุกสนานรื่นรมย์ ถ้าเราดูสองในสามด้านของชีวิตของ
เล็น ตอนเขาอายุ 30 เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงมากๆ เลย
ด้านแรก คือเรื่องงาน ตอนอายุ 20 เขาเป็นผู้ค้าสัญญาออปชั่น พออายุ 25 เขาก็เป็นมหาเศรษฐี และเป็นประธานบริษัทค้าสัญญาออปชั่น
ด้านที่สอง การเล่น เขาเป็นแชมป์ไพ่บริดจ์ระดับชาติ
แต่ในด้านที่สามของชีวิต เรื่อง ความรัก เล็นล้มเหลวไม่เป็นท่า เหตุผลก็คือ เล็นเป็นคนตายด้าน(เสียงหัวเราะ)
เล็นเขาเป็นคนเงียบ ปิดตัว เคยมีผู้หญิงอเมริกันหลายคนบอกกับเล็นตอนที่เขาเริ่มจีบกัน ว่า "คุณนี่น่าเบื่อสุดๆ ไม่มีอารมณ์กุ๊กกิ๊กหวานแหววเลย ไปให้พ้นเลยไป" เล็นก็รวยพอที่จะไปหานักจิตวิเคราะห์ในย่านพาร์ค อเวนิว ซึ่งใช้เวลาห้าปี พยายามค้นหาบาดแผลทางใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ ที่อาจจะปิดกั้นอารมณ์ความรู้สึกทางบวกที่อยู่ภายในใจของเขาแต่ก็ไม่เจอบาดแผลหรือปมทางใจเกี่ยวกับเรื่องเพศเลยสักนิด
เรื่องของเรื่องคือ เล็นเกิดและโตที่ลองไอร์แลนด์ เขาเล่นฟุตบอล ดูฟุตบอล แล้วก็เล่นไพ่บริดจ์ เล็นเป็นคนที่มีอารมณ์ทางบวกน้อย คืออยู่ในกลุ่มห้าเปอร์เซ็นต์ต่ำสุด
คำถามคือ เล็นเป็นคนไม่มีความสุขหรือเปล่า ผมขอบอกว่าไม่ใช่ ตรงกันข้ามกับที่ศาสตร์จิตวิทยาว่าไว้เกี่ยวกับคนที่อยู่ใน 50 เปอร์เซ็นต์ต่ำสุด ของมนุษยชาติในแง่ของคะแนนอารมณ์ทางบวก ผมคิดว่าเล็นเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก เขาไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์ แต่เขาเข้าถึง
ภาวะ flow หรือการมีสมาธิลึกซึ้งอยู่กับกิจกรรมที่ทำในแต่ละขณะได้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อเขาเดินขึ้นตึกอเมริกันเอ็กซเชนจ์ตอน 9:30 ในตอนเช้า เวลาก็เหมือนหยุดนิ่งไปจนกริ่งเลิกงานดังขึ้นในตอนเย็น ตั้งแต่เริ่มเปิดไพ่ใบแรก ไปจนกระทั่งสิบวันให้หลังเมื่อการแข่งขันจบลง เวลาสำหรับเล็นก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
นี่แหละที่
ไมค์ ชิคเซนมิฮาย
เรียกว่าภาวะที่จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกิจกรรมที่ทำ ซึ่งเรียกว่า "flow" และมันก็แตกต่างจากความสนุกสนานรื่นรมย์มากเลย ความสนุกสนานเป็นความรู้สึกที่ดิบ คุณรู้ตัวว่ามันเกิดขึ้น มันมีความคิดและความรู้สึกอยู่ในนั้น แต่อย่างที่คุณได้ฟังไมค์พูดเมื่อวานนี้ ถ้าคุณอยู่ในภาวะ flow คุณจะไม่รู้สึกอะไรเลย คุณเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงดนตรี โลกทั้งใบหยุดหมุน คุณอยู่ในภาวะมีสมาธิจดจ่ออย่างลึกซึ้ง นี่แหละคือลักษณะของสิ่งที่เรามองว่าเป็นชีวิตที่ดีงาม และเราคิดว่ามันมีสูตรที่จะทำอย่างนั้นได้
คุณต้องรู้ว่าจุดแข็งของคุณอยู่ที่ไหน และเราก็มีแบบทดสอบที่เชื่อถือได้ ที่ใช้วัดว่าจุดแข็งสูงสุด 5 ประการของคุณคืออะไร แล้วคุณก็ออกแบบชีวิตของคุณเพื่อให้ได้ใช้จุดแข็งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ออกแบบงานของคุณ ความรักของคุณ การเล่น มิตรภาพ และการเลี้ยงดูลูกของคุณ
มาดูตัวอย่างอันหนึ่ง ผมรู้จัก
พนักงานที่คอยเอาของใส่ถุงที่ห้าง Genuardi's อยู่คนหนึ่ง
เธอไม่ชอบงานที่ทำ ตอนนี้กำลังเรียนวิทยาลัยอยู่ จุดแข็งที่สุดของเธอคือความฉลาดทางสังคม เธอก็เลยออกแบบ งานหยิบของใส่ถุง ของเธอ โดยตั้งใจว่าการพบกันระหว่างเธอกับลูกค้า ต้องเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดของวันสำหรับลูกค้าทุกๆ คน แน่ละ เธอไม่ประสบความสำเร็จหรอก
แต่สิ่งที่เธอทำคือ เธอเอาจุดแข็งของเธอมาเป็นตัวตั้ง แล้วออกแบบงานของตัวเองให้ได้ใช้จุดแข็งนี้มากที่สุด สิ่งที่คุณได้จากการทำอย่างนี้ไม่ใช่รอยยิ้ม หน้าตาคุณคงไม่ดูเหมือนเด็บบี้ เรย์โนลด์ขึ้นมาหรอกและคุณก็คงไม่ได้หัวเราะร่วนด้วย สิ่งที่คุณจะได้คือจิตใจที่มีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ทำ นั่นคือเส้นทางที่สองนะครับ เส้นทางแรกคืออารมณ์ทางบวก เส้นทางที่สองคือภาวะ flow ที่ทำให้เกิดความอิ่มเอิบงอกงามทางใจ
และ
เส้นทางที่สาม คือ
ชีวิตที่มีความหมาย
นี่เป็นความสุขรูปแบบที่มักได้รับยกย่องว่ามีคุณค่าสูงสุด คำว่าความหมายในที่นี้ คล้ายกับคำว่า
ความอิ่มเอิบหรืองอกงามทางจิตใจมากเลย
มันประกอบด้วยการรู้ว่าอะไรคือจุดแข็งของคุณ แล้วก็ใช้มัน เพื่อเข้าถึง เป็นส่วนหนึ่ง และรับใช้อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง
ผมพูดถึงชีวิตที่มีความสุขไปแล้วสามแบบ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ชีวิตที่ดีงาม และชีวิตที่มีความหมาย ตอนนี้ผู้คนก็พยายามหาคำตอบกันอย่างคร่ำเคร่ง ว่ามีอะไรไหมที่จะเปลี่ยนชีวิตเราให้มีความสุขได้อย่างยั่งยืนถาวร ดูเหมือนคำตอบคือ มีครับ และผมจะเล่าตัวอย่างให้คุณฟัง
งานนี้มีการทดสอบอย่างเข้มงวด แบบเดียวกับเวลาทดลองยาว่ายาตัวไหนได้ผลจริงบ้าง เราแบ่งคนเป็นสองกลุ่มด้วยการสุ่ม มีกลุ่มควบคุมที่ได้ยาหลอก ศึกษาวิธีสร้างสุขแบบต่างๆ ต่อเนื่องในระยะยาว และนี่คือตัวอย่างของวิธีสร้างสุขที่เราพบว่าได้ผล เมื่อเราสอนให้คนรู้จักชีวิตที่รื่นรมย์ ให้รู้ว่าจะเพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินในชีวิตได้อย่างไร
การบ้านอันหนึ่งก็คือ การฝึกสติ และการดื่มด่ำไปกับอารมณ์ความรู้สึก การบ้านอีกอย่างที่ต้องทำคือการออกแบบวันที่สวยงาม เสาร์หน้านะครับ ลองจัดให้เป็นวันว่าง ออกแบบวันที่สวยงามของคุณเอง แล้วใช้การฝึกสติและการดื่มด่ำกับอารมณ์เพื่อเพิ่มความเพลิดเพลินใจ เราพบว่าการทำอย่างนี้ทำให้คนเรามีชีวิตที่สนุกสนานรื่นรมย์มากขึ้น
การไปเยี่ยมเพื่อแสดงความซาบซึ้งในเมตตา ผมอยากให้คุณลองทำตามที่ผมจะบอก โปรดหลับตาลงครับ ผมอยากให้คุณนึกถึงใครสักคนหนึ่งที่ได้ทำอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญยิ่งใหญ่ ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตคุณไปในทิศทางที่ดี คนที่คุณไม่เคยขอบคุณเขาให้มากอย่างที่เขาควรได้รับ คนคนนั้นต้องยังมีชีวิตอยู่นะครับ เอาล่ะ ทีนี้ ลืมตาได้
ผมหวังว่าทุกคนคงมีคนคนนั้นอยู่ในใจแล้วนะครับ สิ่งที่คุณต้องทำเวลาเรียนรู้เรื่องการไปเยี่ยมเพื่อแสดงความซาบซึ้งในเมตตา คือ คุณต้องเขียนข้อความยาวสัก 300 คำเกี่ยวกับคนคนนั้น,โทรหาเขา เช่น สมมุติว่าเขาอยู่ที่เมืองฟีนิกซ์ แล้วถามเขาว่า คุณขอไปเยี่ยมได้ไหม ไม่ต้องบอกว่าทำไม แค่ไปปรากฏตัวหน้าประตู แล้วอ่านข้อความที่คุณเขียนให้เขาฟัง --ที่ผ่านมาทุกคนร้องไห้หมดเมื่อมาถึงจุดนี้-- และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเราวัดความสุขของคนเหล่านี้หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือนและสามเดือนให้หลัง ทั้งคู่มีความสุขมากขึ้น และซึมเศร้าน้อยลง
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการออกเดทเพื่อเสริมสร้างจุดแข็ง เราให้คู่รักมาทำแบบทดสอบเพื่อหาว่าจุดแข็งของแต่ละคนคืออะไร แล้วให้วางแผนว่าเย็นนั้นจะไปทำกิจกรรมอะไร ที่ทั้งคู่ได้ใช้จุดแข็งของตัวเอง เราพบว่าวิธีนี้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคู่รักให้แน่นแฟ้นขึ้น แล้วก็มีการทดลองเปรียบเทียบความสนุกกับการได้ช่วยเหลือผู้อื่น
แต่การได้อยู่ในกลุ่มคนแบบนี้ทำให้รู้สึกดีมากเลยนะครับ อย่างที่พวกคุณหลายคนก็ได้หันมาทำการกุศลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันแล้ว แต่นักศึกษาปริญญาตรีกับผู้ร่วมการทดลองของผมยังไม่บรรลุขั้นนั้นกัน เราก็เลยให้เขามาทำกิจกรรมได้ช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ให้ทำอะไรสนุกๆ เพื่อเปรียบเทียบกัน คุณจะพบว่า เวลาทำอะไรสนุกๆ ระดับความสุขขึ้นแล้วก็ลงเป็นรูปกราฟสี่เหลี่ยม
แต่เวลาได้ช่วยเหลือคนอื่น ความสุขคงอยู่ยั่งยืน ยาวนาน
นั่นก็เป็นตัวอย่างวิธีการสร้างเสริมคุณสมบัติด้านบวกของมนุษย์
เรื่องรองสุดท้ายที่ผมอยากพูดคือ ตอนนี้เราสนใจศึกษาว่าคนเรามีความพึงพอใจในชีวิตมากแค่ไหน พูดง่ายๆ ก็คือ คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณเป็นยังไงบ้าง นั่นเป็นตัวแปรที่เป็นเป้าหมายของเรา เราถามคำถามนี้ให้คนตอบโดยแยกเป็นชีวิตสามด้าน ว่าเขาได้รับความพึงพอใจจากชีวิตแต่ละด้านมากแค่ไหน
เราทดสอบซ้ำแบบนี้ในการวิจัย 15 ชิ้น ซึ่งมีผู้ร่วมการวิจัยรวมทั้งหมดเป็นพันๆ คน โดยถามว่า
- การแสวงหาความเพลิดเพลิน, อารมณ์ทางบวก, และชีวิตที่รื่นรมย์
- การได้ทุ่มเทเอาใจจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่างจนเหมือนเวลาหยุดนิ่ง และ
- การแสวงหาความหมายในชีวิต
แต่ละอย่างมีส่วนเติมเต็มความพึงพอใจในชีวิตมากแค่ไหน?
ผลที่ออกมาทำให้เรางงไปเลยครับ เพราะมันกลับตาลปัตรกับที่เราคาด ปรากฏว่า
การแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินแทบไม่ได้เพิ่มความพึงพอใจในชีวิตเลย
การแสวงหาความหมายในชีวิต มีผลมากที่สุด
และการได้ทำอะไรด้วยจิตที่มีสมาธิจดจ่อจริงจังก็มีผลมากเช่นกัน ถ้าความสนุกสนานรื่นรมย์จะมีบทบาทบ้าง ก็เมื่อคุณมีทั้งภาวะที่จิตจดจ่อทุ่มเทกับอะไรสักอย่าง และมีชีวิตที่มีความหมายแล้ว
ความสนุกสนานก็เป็นวิปครีมและเชอร์รี่ที่มาแต่งหน้าสวยขึ้นเท่านั้น
นั่นหมายความว่า ในชีวิตที่เติมเต็มแล้ว ถ้าคุณมีครบทั้งสามด้านของชีวิต คุณก็ได้กำไรขึ้นมาทันที ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่มีสามด้านของชีวิตนี้เลยสักด้าน คือเมื่อชีวิตคุณว่างเปล่า ก็เท่ากับชีวิตคุณติดลบไปทันที
ตอนนี้เราก็เริ่มศึกษาด้วยว่า มีความสัมพันธ์แบบเดียวกันนี้ไหม ใน กรณีสุขภาพกาย การเจ็บป่วย อายุขัย และผลการทำงาน เราอยากรู้ว่าความสัมพันธ์เป็นแบบเดียวกันไหม?เช่น ในบริษัทหนึ่ง ๆ ผลการทำงานได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ทางบวก จิตที่มีสมาธิจดจ่อ และความหมายในชีวิตไหม?
สุขภาพเป็นผลมาจากการได้ทำอะไรด้วยใจที่ทุ่มเทจดจ่อความเพลิดเพลินใจ และความหมายในชีวิตหรือเปล่า? มันก็มีเหตุผลที่ชวนให้คิดว่าคำตอบของทั้งสองคำถามนี้คือ ใช่
คริส (ผู้จัด TED) บอกว่า ผู้พูดคนสุดท้ายมีโอกาสกล่าวสรุปโดยบูรณาการสิ่งที่ได้ฟังมาเข้าด้วยกัน ผมอยากบอกว่างานนี้น่าทึ่งมากสำหรับผม ผมไม่เคยเข้าร่วมงานประชุมสัมมนาแบบนี้เลย ไม่เคยเห็นผู้พูดที่ก้าวล้ำขีดจำกัดตัวเองออกมาได้มากขนาดนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ผมพบว่าโจทย์ของจิตวิทยาก็เหมือนกับโจทย์ของ เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ ตรงที่ เราทุกคนรู้ว่า เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ สามารถนำมาใช้ และได้ถูกใช้เพื่อเป้าหมายที่เป็นอันตราย
และเราก็รู้ว่า เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ สามารถนำไปใช้เยียวยาความทุกข์ได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน การแยกแยะระหว่างการบำบัดทุกข์ กับการบำรุงสุข ก็สำคัญมากๆ เมื่อตอนที่ผมเริ่มเป็นนักจิตบำบัดใหม่เมื่อ 30 ปีก่อน ผมเคยคิดนะ ว่าถ้าผมเก่งพอที่จะทำให้ใครสักคนหายซึมเศร้า ไม่วิตกกังวล ไม่โกรธ นั่นแปลว่าผมทำให้เขามีความสุขแล้ว แต่ผมไม่เคยพบผลอย่างที่คิด
ผมพบว่า อย่างดีที่สุดคุณก็ทำได้แค่ดึงเขามาที่ศูนย์ แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่างเปล่า
ปรากฏว่าทักษะที่จะทำให้เรามีความสุข มีชีวิตที่รื่นรมย์ มีจิตจดจ่อกับสิ่งที่ทำ และมีชีวิตที่มีความหมาย มันแตกต่างจากทักษะที่ใช้ในการเยียวยาความทุกข์
ผมเชื่อว่าในกรณีของเทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบก็เหมือนกันนั่นคือ มันเป็นไปได้ที่กลจักรทั้งสามตัวที่ขับเคลื่อนโลกของเรานี้ จะช่วยเพิ่มความสุข อารมณ์ทางบวก และที่จริงมันก็ถูกใช้เพื่อการนี้เป็นหลักอยู่แล้ว แต่เมื่อคุณแจกแจงความสุขออกมาเป็นสามด้านอย่างที่ผมว่ามา
มันไม่ใช่แค่อารมณ์ทางบวกแล้ว
แค่อารมณ์ดียังไม่เพียงพอ ชีวิตต้องมี flow และ มีความหมายด้วย
เหมือนที่คุณลอราลีบอกเราว่าการออกแบบ และผมเชื่อว่างานบันเทิงและเทคโนโลยีด้วยสามารถช่วยให้เราเข้าใกล้และได้ทำหรือสัมผัสสิ่งที่มีความหมายในชีวิต
เมื่อสมัยที่ผมเป็นประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน เขาพยายามฝึกให้ผมออกสื่อ ทีนี้ มันมีการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของผมกับซีเอ็นเอ็น ซึ่งสรุปเรื่องที่ผมกำลังจะพูดวันนี้ได้ดีทีเดียว นั่นคือ
"เหตุผลข้อ 11 ที่เราควรมองโลกแง่ดี"
บรรณาธิการนิตยสารดิสคัพเวอร์บอกเรามาแล้ว 10 ข้อ ผมจะบอกข้อที่ 11 ให้
ตอนนั้นพิธีกรของซีเอ็นเอ็นมาหาผมแล้วบอกว่า "ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ อาจารย์เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมคะว่าศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง? เราอยากสัมภาษณ์อาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้" ผมบอกว่า "ดีเลยครับ" แล้วเธอก็บอกว่า "แต่นี่เป็นรายการของ CNN เราจะตัดคำพูดอาจารย์ไปออกสั้นๆ นะคะ" ผมเลยถามว่า "แล้วผมพูดได้กี่คำล่ะ?" เธอตอบว่า "คำเดียวค่ะ"
(เสียงหัวเราะ)
แล้วกล้องก็เดิน แล้วเธอก็ถามว่า "ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?"ดี"
(เสียงหัวเราะ)
"ตัดออกๆ ใช้ไม่ได้ เราคงต้องให้เวลาอาจารย์ยาวขึ้นนะ""แล้วคราวนี้ผมพูดได้กี่คำล่ะ?" "สองคำค่ะ" ด็อกเตอร์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ? "ไม่ดี"
(เสียงหัวเราะ)
"เอ่อ ด็อกเตอร์เซลิกแมนคะ เราเข้าใจแล้วค่ะ ว่าอาจารย์ไม่ค่อยถนัดกับสื่อรูปแบบนี้จริงๆ เราให้เวลาอาจารย์มากขึ้นแล้วกัน คราวนี้อาจารย์พูดได้สามคำค่ะ ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ? "ไม่ดีพอ" และนี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะพูดวันนี้
ผมอยากพูดว่าทำไมจิตวิทยาจึงดี ทำไมมันจึงไม่ดี แล้วภายในสิบปีข้างหน้า มันจะดีพอได้อย่างไร และด้วยบทสรุปที่คล้ายกัน ผมอยากพูดแบบเดียวกันเกี่ยวกับเทคโนโลยีวงการบันเทิง และการออกแบบ เพราะผมคิดว่าประเด็นมันเหมือนกันมาก
เอาล่ะ ทำไมสถานะของจิตวิทยาถึงดี คือ จิตวิทยาศึกษาวิจัยมนุษย์ภายใต้โมเดลของโรคมามากกว่าหกสิบปี สิบปีที่แล้ว เวลาผมอยู่บนเครื่องบิน แล้วแนะนำตัวกับคนที่นั่งข้างๆ บอกเขาว่าผมมีอาชีพอะไร เขาจะย้ายที่หนีผมเลยครับเพราะว่าคนเขาพูดกัน ซึ่งก็ถูกนะครับ ว่าจิตวิทยาคือการค้นหาว่าคุณผิดปกติยังไง คือ "ค้นหาคนบ้า" ว่างั้นเถอะ แต่เดี๋ยวนี้ เวลาผมบอกใครว่าผมทำงานอะไร เขาจะขยับเข้ามาหาผม
อีกอย่างที่ดีเกี่ยวกับจิตวิทยา กับเงินสามหมื่นล้านดอลล่าร์ที่สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (NIMH) ลงทุนไปกับการศึกษาวิจัยภายใต้โมเดลของโรค กับสิ่งที่คุณเรียกกันว่าศาสตร์จิตวิทยาเนี่ย ก็คือ 60 ปีที่แล้ว ไม่มีโรคทางจิตประเภทใดเลยที่รักษาได้ มันเหมือนปริศนาของมายากลที่ไม่มีใครเข้าใจเลย แต่ตอนนี้ มี 14 โรคที่รักษาให้ดีขึ้นได้ ซึ่ง 2 โรคในนั้นรักษาให้หายขาดได้
และอีกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือ ศาสตร์นี้ก้าวหน้าไปมาก ศาสตร์เกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตน่ะครับ เราพบว่า เราสามารถหยิบมโนทัศน์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า การติดเหล้า เอามาวัดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และเราก็สามารถจำแนกแยกแยะและจัดหมวดหมู่อาการป่วยทางจิต เราสามารถเข้าใจสาเหตุของอาการป่วยทางจิต เราสามารถศึกษาคนคนเดียวกันข้ามช่วงเวลา เช่น คนที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่เสี่ยงจะเป็นโรคจิตเภท แล้วตั้งคำถามว่าการเลี้ยงดูกับพันธุกรรมมีผลมากน้อยแค่ไหน เราสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ โดยศึกษาอาการป่วยทางจิตด้วยวิธีการทดลอง
และที่เยี่ยมที่สุด คือ ในห้าสิบปีที่ผ่านมา เราสามารถคิดค้นสร้างยาและวิธีการรักษาอาการป่วยทางจิต และเราก็สามารถทดสอบมันได้อย่างเที่ยงตรง ด้วยการทดลองที่มีการสุ่มเข้ากลุ่มและมีกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้ยาหลอก อะไรที่ไม่ได้ผลก็ทิ้งไป อะไรที่ได้ผลดีก็เก็บไว้
และข้อสรุปก็คือ ศาสตร์จิตวิทยาและจิตเวชในหกสิบปีที่ผ่านมา สามารถประกาศได้ว่าเราทำให้คนที่ทุกข์เพราะเจ็บป่วยเขาทุกข์น้อยลง และผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ผมภูมิใจมาก แต่สิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเป็นผลจากเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไป มีอยู่สามอย่าง
อันดับแรกเลยคือ
เรื่องคุณธรรม
นักจิตวิทยาและจิตแพทย์กลายเป็นผู้ศึกษาเรื่องเหยื่อที่ทำให้คนอื่นกลายเป็นเหยื่อ หรือผู้ตัดสินว่าใครเจ็บป่วย มุมมองของเราต่อธรรมชาติของมนุษย์กลายเป็นว่า ถ้าคุณมีปัญหา แปลว่าคุณโชคร้าย เราลืมไปว่าคนเราเลือกและตัดสินใจนะครับ เราลืมความรับผิดชอบของมนุษย์ไป นั่นเป็นปัญหาข้อแรก
ปัญหาข้อที่สอง คือ
เราลืมผู้คนอย่างพวกคุณไปเลย
เราลืมเรื่องการยกระดับชีวิตของคนปกติ เราลืมภารกิจในการทำให้คนที่ไม่ได้มีปัญหาเขามีความสุขมากขึ้น มีชิวิตที่เติมเต็ม และเป็นประโยชน์มากขึ้น แล้วคำว่า"อัจฉริยะ" "พรสวรรค์" กลายเป็นคำหยาบ ไม่มีใครศึกษาเรื่องพวกนี้
และ
ปัญหาข้อที่สามของจิตวิทยาภายใต้โมเดลของโรค คือ
เมื่อเรารีบเร่งที่จะทำอะไรสักอย่างกับคนที่มีปัญหา ในความรีบเร่งที่จะซ่อมแซมความเสียหายนั้น เราไม่เคยคิดจะสร้างระบบหรือวิธีการอะไร ที่จะทำให้คนมีความสุขมากขึ้น เราไม่สร้างวิธีการที่จะพัฒนาด้านบวกของมนุษย์
นั่นแหละที่ผมมองว่าจิตวิทยานั้นไม่ดี และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนอย่าง
แนนซี เอตคอฟ,
แดน กิลเบิร์ต,
ไมค์ ชิคเซนมิฮาย และ
ตัวผมเอง
มาเริ่มศึกษาสิ่งที่ผมเรียกว่า จิตวิทยาเชิงบวกซึ่งมีเป้าหมายสามอย่าง
ข้อแรก คือ จิตวิทยาควรให้ความสำคัญ กับจุดแข็งของมนุษย์เช่นเดียวกับที่ใส่ใจในจุดอ่อน มันควรจะมุ่งสร้างเสริมความแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับที่มุ่งซ่อมแซมข้อบกพร่อง ควรจะให้ความสนใจกับสิ่งดีๆ ทั้งหลายในชีวิต และควรใส่ใจกับการทำให้ชีวิตของคนปกติธรรมดาเติมเต็มมากขึ้น ให้ความสนใจกับอัจฉริยะ และการบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษด้วย
ดังนั้น ใน 10 ปีที่ผ่านมา และในความหวังของผมที่มีต่ออนาคต เราได้เห็นการเริ่มต้นของศาสตร์ จิตวิทยาเชิงบวกศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า เราพบว่าเราสามารถวัดความสุขได้ในหลากหลายรูปแบบ คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์นั้น
(www.authentichappiness.org)
แล้วลองทำแบบทดสอบมากมายเกี่ยวกับความสุขได้ฟรี คุณคงสงสัยว่า เราจะวัดอารมณ์ทางบวก ความหมายในชีวิต และภาวะที่จิต มีสมาธิจดจ่อเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ทำ (flow) ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนับหมื่นๆ ได้ยังไง? เราได้สร้างสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคู่มือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต คือ ระบบจัดประเภทจุดแข็งและคุณธรรมของมนุษย์ที่แยกแยะเปรียบเทียบระหว่างเพศ พร้อมด้วยคำนิยาม และวิธีวินิจฉัย อะไรที่สร้าง และอะไรที่ขัดขวางมัน เราพบว่าเราสามารถค้นพบสาเหตุของภาวะแง่บวกต่างๆ ได้ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในสมองซีกซ้าย กับกิจกรรมในสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความสุข
ผมเองเคยใช้เวลาทั้งชีวิตศึกษาคนที่ทุกข์สุด ๆ โดยตั้งคำถามว่า คนที่ทุกข์สุด ๆ เขาแตกต่างจากคนอื่นทั่วไปอย่างไร? เพิ่งมาหกปีหลังนี้เอง ที่เราเริ่มถามถึงคนที่มีความสุขสุดๆ ว่าเขาแตกต่างจากพวกเราทั้งหมดอย่างไร? แล้วก็ปรากฏว่า มีความแตกต่างอยู่อย่างเดียว เขาไม่ได้เคร่งศาสนามากกว่า ไม่ได้สุขภาพดีกว่า ไม่ได้มีเงินมากกว่า ไม่ได้รูปร่างหน้าตาดีกว่า ไม่ได้มีเรื่องดีๆ ในชีวิตมากกว่า และมีเรื่องร้ายๆ ในชีวิตน้อยกว่า สี่งที่เขาแตกต่างจากเรา คือ
เขามีความสัมพันธ์ทางสังคมดีมากๆ
เขาไม่นั่งมาอยู่ในงานสัมมนาตอนเช้าวันเสาร์แบบนี้ (เสียงหัวเราะ) เขาไม่ใช้เวลาอยู่คนเดียว แต่ละคนมีความรัก และมีเพื่อนเยอะมาก
แต่เราต้องระวังในการตีความนะครับ นี่เป็นข้อมูลแบบสหสัมพันธ์ ซึ่งไม่ได้บอกสาเหตุ และที่ผมพูดถึงมันก็เป็นความสุขในความหมายแบบฮอลลีวู้ด คือ ความสุขสนุกสนาน หัวเราะ ร่าเริงเบิกบาน อีกเดี๋ยวผมจะบอกคุณว่าความสุขแบบนี้มันยังไม่เพียงพอ เราพบว่า เราสามารถสืบค้นวิธีสร้างสุขที่มีคนเสนอไว้ย้อนหลังไปหลายศตวรรษ ตั้งแต่
พระพุทธเจ้า
มาจนถึง
โทนี ร็อบบินส์
มีผู้เสนอวิธีกว่า 120 วิธีที่ว่ากันว่าจะทำให้ผู้คนมีความสุข และเราก็พบว่า เราสามารถสร้างคู่มือของวิธีการเหล่านั้นได้ แล้วเราก็ไปทำการทดลองที่มีการสุ่มคนเข้ากลุ่มทดลองต่างๆ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวิธีสร้างสุขเหล่านี้ ว่าวิธีไหนทำให้คนมีความสุขอย่างยั่งยืนกว่า อีกสักครู่ผมจะใช้เวลาสองสามนาทีเล่าผลการวิจัยบางส่วนให้คุณฟัง
แต่ข้อสรุปสุดท้ายก็คือ ภารกิจที่ผมอยากให้ศาสตร์จิตวิทยานำไปปฏิบัติ นอกจากการรักษาคนที่เจ็บป่วยทางจิตนอกจากการช่วยให้คนที่ทุกข์เขาทุกข์น้อยลงแล้ว คือ
จิตวิทยาจะช่วยให้คนมีความสุขมากขึ้นได้ไหม?
และการตั้งคำถามนี้ -- ที่จริงผมไม่ค่อยใช้คำว่าความสุขเท่าไหร่นักนะครับ -- เราต้องแยกแยะความสุขออกมาเป็นแง่มุมต่างๆ ที่เราสามารถตั้งคำถามได้ ซึ่งผมเชื่อว่าความสุขมันมีอยู่สามแง่มุมที่แตกต่างกัน ที่ผมว่ามันต่างก็เพราะมันสร้างได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน และเราอาจจะมีอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น ในบรรดาชีวิตที่มีความสุขสามแบบนั้น
แบบแรก คือ
ชีวิตที่รื่นรมย์
นี่คือชีวิตที่คุณมีอารมณ์ทางบวกมากเท่าที่จะเป็นไปได้ และมีทักษะที่จะเพิ่มอารมณ์ทางบวกเหล่านั้นด้วย
แบบที่สอง คือ
ชีวิตที่ได้ทุ่มเท เอาใจจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง
เช่นตอนที่คุณใช้เวลากับงาน พ่อแม่ คนรัก งานอดิเรก แล้วรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่งเพื่อคุณนั่นคือความสุขแบบที่อริสโตเติลพูดถึง และ
แบบที่สาม คือ
ชีวิตที่มีความหมาย
ทีนี้ ผมอยากพูดถึงชีวิตที่มีความสุขแต่ละแบบ และสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับมันสักหน่อย
ชีวิตที่มีความสุขแบบแรก คือ
ชีวิตที่รื่นรมย์ มีความสนุกสนานมากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ เป็นชีวิตที่มีสิ่งตอบสนองความเพลิดเพลินมากเท่าที่คุณต้องการ มีอารมณ์ทางบวกมากเท่าที่คุณจะมีได้ รวมทั้งเรียนรู้ทักษะที่จะดื่มด่ำ มีสติจดจ่อ ซึ่งจะเพิ่มความเข้มข้น และแผ่ขยายอารมณ์ทางบวกนั้นออกไปข้ามกาลเวลาและสถานที่ แต่ชีวิตที่รื่นรมย์ก็มีแง่ลบอยู่สามอย่าง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจิตวิทยาเชิงบวกจึงไม่ใช่วิชาว่าด้วยความสุขและไม่ได้จบแค่ตรงนี้
ปัญหาข้อแรกคือ ปรากฏว่าชีวิตที่รื่นรมย์ และประสบการณ์อารมณ์ทางบวกของคุณนั้น ส่วนหนึ่งเป็นมรดกทางพันธุกรรม 50 เปอร์เซ็นต์เป็นอิทธิพลจากพันธุกรรม และก็ไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายนัก ดังนั้น เทคนิคหลากหลายที่แมทธิเออ (ริการ์) กับผม และคนอื่นๆ มีอยู่ สำหรับการเพิ่มปริมาณอารมณ์ทางบวกในชีวิตของคุณ ก็ช่วยเพิ่มขึ้นมาได้ 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นอารมณ์เดิมเท่านั้น ปัญหาข้อสองคือ เราจะชินชากับอารมณ์ทางบวก ซึ่งจะเกิดขึ้นเร็วมากเลย ก็เหมือนไอศครีมรสเฟรนชวนิลา คำแรกอร่อย 100 เปอร์เซ็นต์พอถึงคำที่หก รสชาติมันก็งั้นๆ แล้ว และอย่างที่ผมบอก มันไม่ใช่สิ่งที่แก้กันได้ง่ายๆ ด้วย
ซึ่งประเด็นนี้ก็นำไปสู่
ปัญหาที่สอง
ผมต้องเล่าเรื่องเล็น เพื่อนของผม ให้คุณฟัง เพื่ออธิบายว่าทำไมจิตวิทยาเชิงบวกจึงมีอะไรมากกว่าอารมณ์ทางบวก มากกว่าการสร้างความสนุกสนานรื่นรมย์ ถ้าเราดูสองในสามด้านของชีวิตของ
เล็น ตอนเขาอายุ 30 เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงมากๆ เลย
ด้านแรก คือเรื่องงาน ตอนอายุ 20 เขาเป็นผู้ค้าสัญญาออปชั่น พออายุ 25 เขาก็เป็นมหาเศรษฐี และเป็นประธานบริษัทค้าสัญญาออปชั่น
ด้านที่สอง การเล่น เขาเป็นแชมป์ไพ่บริดจ์ระดับชาติ
แต่ในด้านที่สามของชีวิต เรื่อง ความรัก เล็นล้มเหลวไม่เป็นท่า เหตุผลก็คือ เล็นเป็นคนตายด้าน(เสียงหัวเราะ)
เล็นเขาเป็นคนเงียบ ปิดตัว เคยมีผู้หญิงอเมริกันหลายคนบอกกับเล็นตอนที่เขาเริ่มจีบกัน ว่า "คุณนี่น่าเบื่อสุดๆ ไม่มีอารมณ์กุ๊กกิ๊กหวานแหววเลย ไปให้พ้นเลยไป" เล็นก็รวยพอที่จะไปหานักจิตวิเคราะห์ในย่านพาร์ค อเวนิว ซึ่งใช้เวลาห้าปี พยายามค้นหาบาดแผลทางใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ ที่อาจจะปิดกั้นอารมณ์ความรู้สึกทางบวกที่อยู่ภายในใจของเขาแต่ก็ไม่เจอบาดแผลหรือปมทางใจเกี่ยวกับเรื่องเพศเลยสักนิด
เรื่องของเรื่องคือ เล็นเกิดและโตที่ลองไอร์แลนด์ เขาเล่นฟุตบอล ดูฟุตบอล แล้วก็เล่นไพ่บริดจ์ เล็นเป็นคนที่มีอารมณ์ทางบวกน้อย คืออยู่ในกลุ่มห้าเปอร์เซ็นต์ต่ำสุด
คำถามคือ เล็นเป็นคนไม่มีความสุขหรือเปล่า ผมขอบอกว่าไม่ใช่ ตรงกันข้ามกับที่ศาสตร์จิตวิทยาว่าไว้เกี่ยวกับคนที่อยู่ใน 50 เปอร์เซ็นต์ต่ำสุด ของมนุษยชาติในแง่ของคะแนนอารมณ์ทางบวก ผมคิดว่าเล็นเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก เขาไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์ แต่เขาเข้าถึง
ภาวะ flow หรือการมีสมาธิลึกซึ้งอยู่กับกิจกรรมที่ทำในแต่ละขณะได้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อเขาเดินขึ้นตึกอเมริกันเอ็กซเชนจ์ตอน 9:30 ในตอนเช้า เวลาก็เหมือนหยุดนิ่งไปจนกริ่งเลิกงานดังขึ้นในตอนเย็น ตั้งแต่เริ่มเปิดไพ่ใบแรก ไปจนกระทั่งสิบวันให้หลังเมื่อการแข่งขันจบลง เวลาสำหรับเล็นก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
นี่แหละที่
ไมค์ ชิคเซนมิฮาย
เรียกว่าภาวะที่จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกิจกรรมที่ทำ ซึ่งเรียกว่า "flow" และมันก็แตกต่างจากความสนุกสนานรื่นรมย์มากเลย ความสนุกสนานเป็นความรู้สึกที่ดิบ คุณรู้ตัวว่ามันเกิดขึ้น มันมีความคิดและความรู้สึกอยู่ในนั้น แต่อย่างที่คุณได้ฟังไมค์พูดเมื่อวานนี้ ถ้าคุณอยู่ในภาวะ flow คุณจะไม่รู้สึกอะไรเลย คุณเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงดนตรี โลกทั้งใบหยุดหมุน คุณอยู่ในภาวะมีสมาธิจดจ่ออย่างลึกซึ้ง นี่แหละคือลักษณะของสิ่งที่เรามองว่าเป็นชีวิตที่ดีงาม และเราคิดว่ามันมีสูตรที่จะทำอย่างนั้นได้
คุณต้องรู้ว่าจุดแข็งของคุณอยู่ที่ไหน และเราก็มีแบบทดสอบที่เชื่อถือได้ ที่ใช้วัดว่าจุดแข็งสูงสุด 5 ประการของคุณคืออะไร แล้วคุณก็ออกแบบชีวิตของคุณเพื่อให้ได้ใช้จุดแข็งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ออกแบบงานของคุณ ความรักของคุณ การเล่น มิตรภาพ และการเลี้ยงดูลูกของคุณ
มาดูตัวอย่างอันหนึ่ง ผมรู้จัก
พนักงานที่คอยเอาของใส่ถุงที่ห้าง Genuardi's อยู่คนหนึ่ง
เธอไม่ชอบงานที่ทำ ตอนนี้กำลังเรียนวิทยาลัยอยู่ จุดแข็งที่สุดของเธอคือความฉลาดทางสังคม เธอก็เลยออกแบบ งานหยิบของใส่ถุง ของเธอ โดยตั้งใจว่าการพบกันระหว่างเธอกับลูกค้า ต้องเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดของวันสำหรับลูกค้าทุกๆ คน แน่ละ เธอไม่ประสบความสำเร็จหรอก
แต่สิ่งที่เธอทำคือ เธอเอาจุดแข็งของเธอมาเป็นตัวตั้ง แล้วออกแบบงานของตัวเองให้ได้ใช้จุดแข็งนี้มากที่สุด สิ่งที่คุณได้จากการทำอย่างนี้ไม่ใช่รอยยิ้ม หน้าตาคุณคงไม่ดูเหมือนเด็บบี้ เรย์โนลด์ขึ้นมาหรอกและคุณก็คงไม่ได้หัวเราะร่วนด้วย สิ่งที่คุณจะได้คือจิตใจที่มีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ทำ นั่นคือเส้นทางที่สองนะครับ เส้นทางแรกคืออารมณ์ทางบวก เส้นทางที่สองคือภาวะ flow ที่ทำให้เกิดความอิ่มเอิบงอกงามทางใจ
และ
เส้นทางที่สาม คือ
ชีวิตที่มีความหมาย
นี่เป็นความสุขรูปแบบที่มักได้รับยกย่องว่ามีคุณค่าสูงสุด คำว่าความหมายในที่นี้ คล้ายกับคำว่า
ความอิ่มเอิบหรืองอกงามทางจิตใจมากเลย
มันประกอบด้วยการรู้ว่าอะไรคือจุดแข็งของคุณ แล้วก็ใช้มัน เพื่อเข้าถึง เป็นส่วนหนึ่ง และรับใช้อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง
ผมพูดถึงชีวิตที่มีความสุขไปแล้วสามแบบ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ชีวิตที่ดีงาม และชีวิตที่มีความหมาย ตอนนี้ผู้คนก็พยายามหาคำตอบกันอย่างคร่ำเคร่ง ว่ามีอะไรไหมที่จะเปลี่ยนชีวิตเราให้มีความสุขได้อย่างยั่งยืนถาวร ดูเหมือนคำตอบคือ มีครับ และผมจะเล่าตัวอย่างให้คุณฟัง
งานนี้มีการทดสอบอย่างเข้มงวด แบบเดียวกับเวลาทดลองยาว่ายาตัวไหนได้ผลจริงบ้าง เราแบ่งคนเป็นสองกลุ่มด้วยการสุ่ม มีกลุ่มควบคุมที่ได้ยาหลอก ศึกษาวิธีสร้างสุขแบบต่างๆ ต่อเนื่องในระยะยาว และนี่คือตัวอย่างของวิธีสร้างสุขที่เราพบว่าได้ผล เมื่อเราสอนให้คนรู้จักชีวิตที่รื่นรมย์ ให้รู้ว่าจะเพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินในชีวิตได้อย่างไร
การบ้านอันหนึ่งก็คือ การฝึกสติ และการดื่มด่ำไปกับอารมณ์ความรู้สึก การบ้านอีกอย่างที่ต้องทำคือการออกแบบวันที่สวยงาม เสาร์หน้านะครับ ลองจัดให้เป็นวันว่าง ออกแบบวันที่สวยงามของคุณเอง แล้วใช้การฝึกสติและการดื่มด่ำกับอารมณ์เพื่อเพิ่มความเพลิดเพลินใจ เราพบว่าการทำอย่างนี้ทำให้คนเรามีชีวิตที่สนุกสนานรื่นรมย์มากขึ้น
การไปเยี่ยมเพื่อแสดงความซาบซึ้งในเมตตา ผมอยากให้คุณลองทำตามที่ผมจะบอก โปรดหลับตาลงครับ ผมอยากให้คุณนึกถึงใครสักคนหนึ่งที่ได้ทำอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญยิ่งใหญ่ ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตคุณไปในทิศทางที่ดี คนที่คุณไม่เคยขอบคุณเขาให้มากอย่างที่เขาควรได้รับ คนคนนั้นต้องยังมีชีวิตอยู่นะครับ เอาล่ะ ทีนี้ ลืมตาได้
ผมหวังว่าทุกคนคงมีคนคนนั้นอยู่ในใจแล้วนะครับ สิ่งที่คุณต้องทำเวลาเรียนรู้เรื่องการไปเยี่ยมเพื่อแสดงความซาบซึ้งในเมตตา คือ คุณต้องเขียนข้อความยาวสัก 300 คำเกี่ยวกับคนคนนั้น,โทรหาเขา เช่น สมมุติว่าเขาอยู่ที่เมืองฟีนิกซ์ แล้วถามเขาว่า คุณขอไปเยี่ยมได้ไหม ไม่ต้องบอกว่าทำไม แค่ไปปรากฏตัวหน้าประตู แล้วอ่านข้อความที่คุณเขียนให้เขาฟัง --ที่ผ่านมาทุกคนร้องไห้หมดเมื่อมาถึงจุดนี้-- และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเราวัดความสุขของคนเหล่านี้หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือนและสามเดือนให้หลัง ทั้งคู่มีความสุขมากขึ้น และซึมเศร้าน้อยลง
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการออกเดทเพื่อเสริมสร้างจุดแข็ง เราให้คู่รักมาทำแบบทดสอบเพื่อหาว่าจุดแข็งของแต่ละคนคืออะไร แล้วให้วางแผนว่าเย็นนั้นจะไปทำกิจกรรมอะไร ที่ทั้งคู่ได้ใช้จุดแข็งของตัวเอง เราพบว่าวิธีนี้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคู่รักให้แน่นแฟ้นขึ้น แล้วก็มีการทดลองเปรียบเทียบความสนุกกับการได้ช่วยเหลือผู้อื่น
แต่การได้อยู่ในกลุ่มคนแบบนี้ทำให้รู้สึกดีมากเลยนะครับ อย่างที่พวกคุณหลายคนก็ได้หันมาทำการกุศลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันแล้ว แต่นักศึกษาปริญญาตรีกับผู้ร่วมการทดลองของผมยังไม่บรรลุขั้นนั้นกัน เราก็เลยให้เขามาทำกิจกรรมได้ช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ให้ทำอะไรสนุกๆ เพื่อเปรียบเทียบกัน คุณจะพบว่า เวลาทำอะไรสนุกๆ ระดับความสุขขึ้นแล้วก็ลงเป็นรูปกราฟสี่เหลี่ยม
แต่เวลาได้ช่วยเหลือคนอื่น ความสุขคงอยู่ยั่งยืน ยาวนาน
นั่นก็เป็นตัวอย่างวิธีการสร้างเสริมคุณสมบัติด้านบวกของมนุษย์
เรื่องรองสุดท้ายที่ผมอยากพูดคือ ตอนนี้เราสนใจศึกษาว่าคนเรามีความพึงพอใจในชีวิตมากแค่ไหน พูดง่ายๆ ก็คือ คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณเป็นยังไงบ้าง นั่นเป็นตัวแปรที่เป็นเป้าหมายของเรา เราถามคำถามนี้ให้คนตอบโดยแยกเป็นชีวิตสามด้าน ว่าเขาได้รับความพึงพอใจจากชีวิตแต่ละด้านมากแค่ไหน
เราทดสอบซ้ำแบบนี้ในการวิจัย 15 ชิ้น ซึ่งมีผู้ร่วมการวิจัยรวมทั้งหมดเป็นพันๆ คน โดยถามว่า
- การแสวงหาความเพลิดเพลิน, อารมณ์ทางบวก, และชีวิตที่รื่นรมย์
- การได้ทุ่มเทเอาใจจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่างจนเหมือนเวลาหยุดนิ่ง และ
- การแสวงหาความหมายในชีวิต
แต่ละอย่างมีส่วนเติมเต็มความพึงพอใจในชีวิตมากแค่ไหน?
ผลที่ออกมาทำให้เรางงไปเลยครับ เพราะมันกลับตาลปัตรกับที่เราคาด ปรากฏว่า
การแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินแทบไม่ได้เพิ่มความพึงพอใจในชีวิตเลย
การแสวงหาความหมายในชีวิต มีผลมากที่สุด
และการได้ทำอะไรด้วยจิตที่มีสมาธิจดจ่อจริงจังก็มีผลมากเช่นกัน ถ้าความสนุกสนานรื่นรมย์จะมีบทบาทบ้าง ก็เมื่อคุณมีทั้งภาวะที่จิตจดจ่อทุ่มเทกับอะไรสักอย่าง และมีชีวิตที่มีความหมายแล้ว
ความสนุกสนานก็เป็นวิปครีมและเชอร์รี่ที่มาแต่งหน้าสวยขึ้นเท่านั้น
นั่นหมายความว่า ในชีวิตที่เติมเต็มแล้ว ถ้าคุณมีครบทั้งสามด้านของชีวิต คุณก็ได้กำไรขึ้นมาทันที ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่มีสามด้านของชีวิตนี้เลยสักด้าน คือเมื่อชีวิตคุณว่างเปล่า ก็เท่ากับชีวิตคุณติดลบไปทันที
ตอนนี้เราก็เริ่มศึกษาด้วยว่า มีความสัมพันธ์แบบเดียวกันนี้ไหม ใน กรณีสุขภาพกาย การเจ็บป่วย อายุขัย และผลการทำงาน เราอยากรู้ว่าความสัมพันธ์เป็นแบบเดียวกันไหม?เช่น ในบริษัทหนึ่ง ๆ ผลการทำงานได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ทางบวก จิตที่มีสมาธิจดจ่อ และความหมายในชีวิตไหม?
สุขภาพเป็นผลมาจากการได้ทำอะไรด้วยใจที่ทุ่มเทจดจ่อความเพลิดเพลินใจ และความหมายในชีวิตหรือเปล่า? มันก็มีเหตุผลที่ชวนให้คิดว่าคำตอบของทั้งสองคำถามนี้คือ ใช่
คริส (ผู้จัด TED) บอกว่า ผู้พูดคนสุดท้ายมีโอกาสกล่าวสรุปโดยบูรณาการสิ่งที่ได้ฟังมาเข้าด้วยกัน ผมอยากบอกว่างานนี้น่าทึ่งมากสำหรับผม ผมไม่เคยเข้าร่วมงานประชุมสัมมนาแบบนี้เลย ไม่เคยเห็นผู้พูดที่ก้าวล้ำขีดจำกัดตัวเองออกมาได้มากขนาดนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ผมพบว่าโจทย์ของจิตวิทยาก็เหมือนกับโจทย์ของ เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ ตรงที่ เราทุกคนรู้ว่า เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ สามารถนำมาใช้ และได้ถูกใช้เพื่อเป้าหมายที่เป็นอันตราย
และเราก็รู้ว่า เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ สามารถนำไปใช้เยียวยาความทุกข์ได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน การแยกแยะระหว่างการบำบัดทุกข์ กับการบำรุงสุข ก็สำคัญมากๆ เมื่อตอนที่ผมเริ่มเป็นนักจิตบำบัดใหม่เมื่อ 30 ปีก่อน ผมเคยคิดนะ ว่าถ้าผมเก่งพอที่จะทำให้ใครสักคนหายซึมเศร้า ไม่วิตกกังวล ไม่โกรธ นั่นแปลว่าผมทำให้เขามีความสุขแล้ว แต่ผมไม่เคยพบผลอย่างที่คิด
ผมพบว่า อย่างดีที่สุดคุณก็ทำได้แค่ดึงเขามาที่ศูนย์ แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่างเปล่า
ปรากฏว่าทักษะที่จะทำให้เรามีความสุข มีชีวิตที่รื่นรมย์ มีจิตจดจ่อกับสิ่งที่ทำ และมีชีวิตที่มีความหมาย มันแตกต่างจากทักษะที่ใช้ในการเยียวยาความทุกข์
ผมเชื่อว่าในกรณีของเทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบก็เหมือนกันนั่นคือ มันเป็นไปได้ที่กลจักรทั้งสามตัวที่ขับเคลื่อนโลกของเรานี้ จะช่วยเพิ่มความสุข อารมณ์ทางบวก และที่จริงมันก็ถูกใช้เพื่อการนี้เป็นหลักอยู่แล้ว แต่เมื่อคุณแจกแจงความสุขออกมาเป็นสามด้านอย่างที่ผมว่ามา
มันไม่ใช่แค่อารมณ์ทางบวกแล้ว
แค่อารมณ์ดียังไม่เพียงพอ ชีวิตต้องมี flow และ มีความหมายด้วย
เหมือนที่คุณลอราลีบอกเราว่าการออกแบบ และผมเชื่อว่างานบันเทิงและเทคโนโลยีด้วยสามารถช่วยให้เราเข้าใกล้และได้ทำหรือสัมผัสสิ่งที่มีความหมายในชีวิต
ดังนั้น เหตุผลข้อที่ 11 ที่เราควรมองโลกแง่ดี นอกจากเป็นเพราะเราจะมีลิฟต์อวกาศแล้ว ผมคิดว่า ยังเป็นเพราะด้วยเทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ เราจะสามารถเพิ่มปริมาณความสุข ของมนุษย์บนโลกนี้ได้มหาศาลด้วย และถ้าในอีกหนึ่งหรือสองทศวรรษข้างหน้า เทคโนโลยีสามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตที่น่ารื่นรมย์ ชีวิตที่ดี และชีวิตที่มีความหมายมากขึ้นได้
มันก็จะเป็นเทคโนโลยีที่ดีพอ ถ้าเราสามารถนำงานบันเทิงไปใช้เพื่อเพิ่ม
อารมณ์ทางบวก (ซึ่งหมายถึง ความงอกงามของชีวิต) มันก็จะเป็น งานบันเทิงที่ดีพอ และ
ถ้าการออกแบบสามารถเพิ่มอารมณ์ทางบวก ความงอกงาม ภาวะ flow และความหมายในชีวิต สิ่งที่เราทุกคนกำลังร่วมมือทำ ก็จะดีพอ
ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
มันก็จะเป็นเทคโนโลยีที่ดีพอ ถ้าเราสามารถนำงานบันเทิงไปใช้เพื่อเพิ่ม
อารมณ์ทางบวก (ซึ่งหมายถึง ความงอกงามของชีวิต) มันก็จะเป็น งานบันเทิงที่ดีพอ และ
ถ้าการออกแบบสามารถเพิ่มอารมณ์ทางบวก ความงอกงาม ภาวะ flow และความหมายในชีวิต สิ่งที่เราทุกคนกำลังร่วมมือทำ ก็จะดีพอ
ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)