หนังสือชุด “พ่อรวยสอนลูก”
หนังสือชุด พ่อรวยสอนลูก เล่มที่ 1 สอนให้ผมรู้จัก รายได้ รายจ่าย สินทรัพย์ และหนี้สิน
เมื่อเรามีรายได้จากการทำงาน เราก็นำรายได้ของเราไปจับจ่ายใช้สอย หรือ ก่อหนี้ ด้วยการซื้อบ้าน ซื้อรถ
เมื่อเราซื้อบ้านหรือรถ เริ่มก่อหนี้ เราก็กลายเป็นหนูถีบจักร ทำงานให้นายจ้าง ทำงานให้ธนาคาร เมื่อทำงานแล้วไม่มีเงินเก็บ
และเมื่อเราทำงานแล้วมีรายได้มากขึ้น เงินเดือนเพิ่ม ก็ก่อหนี้มากขึ้น ใช้จ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น ซื้อรถคันใหม่ เราก็ต้องยิ่งทำงานหนักขึ้น ทำงานให้ธนาคารมากขึ้น ทำงานให้นายจ้างมากขึ้น
สภาวะเช่นนี้ โรเบิร์ต คิโยซากิ เรียกว่า Rat Race หรือสนามแข่งหนูนั่นเอง นั่นคือ ทำงานแล้วไม่ไปไหน รายได้มากขึ้น แต่ไม่รวยเสียที
ให้สินทรัพย์ทำงานแทน
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มเก็บเงินก่อน “จ่ายเงินให้ตัวเองก่อน” แล้วซื้อสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้เราได้ เราก็จะมีรายได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องทำงานเพิ่ม แล้วเราก็นำรายได้ที่มากขึ้นนี้ ไปซื้อสินทรัพย์ ให้สินทรัพย์ทำงานแทน สร้างกระแสเงินสดให้กับเรา ทำให้เรามีรายได้ที่มากขึ้นนอกเหนือจากงานประจำ
ทำไมคนรวยจึงรวยยิ่งขึ้น ? ก็เพราะว่าคนรวย นำเงินรายได้ไปซื้อสินทรัพย์ แล้วให้สินทรัพย์สร้างรายรับให้กับเรา เมื่อเรามีรายได้มากขึ้น ก็จะนำรายได้ส่วนนั้นไปซื้อสินทรัพย์ต่อเนื่อง รายได้ยิ่งมากขึ้น ก็ยิ่งซื้อสินทรัพย์มากขึ้น จนถึงจุดที่ไม่ต้องทำงานก็ยังมีรายได้อย่างต่อเนื่องจนครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆได้ทั้งหมด ก็คือเข้าสู่ อิสรภาพทางการเงินนั่นเอง
หนังสือชุด พ่อรวยสอนลูก เล่มที่ 1 สอนให้ผมรู้จัก รายได้ รายจ่าย สินทรัพย์ และหนี้สิน
เมื่อเรามีรายได้จากการทำงาน เราก็นำรายได้ของเราไปจับจ่ายใช้สอย หรือ ก่อหนี้ ด้วยการซื้อบ้าน ซื้อรถ
เมื่อเราซื้อบ้านหรือรถ เริ่มก่อหนี้ เราก็กลายเป็นหนูถีบจักร ทำงานให้นายจ้าง ทำงานให้ธนาคาร เมื่อทำงานแล้วไม่มีเงินเก็บ
และเมื่อเราทำงานแล้วมีรายได้มากขึ้น เงินเดือนเพิ่ม ก็ก่อหนี้มากขึ้น ใช้จ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น ซื้อรถคันใหม่ เราก็ต้องยิ่งทำงานหนักขึ้น ทำงานให้ธนาคารมากขึ้น ทำงานให้นายจ้างมากขึ้น
สภาวะเช่นนี้ โรเบิร์ต คิโยซากิ เรียกว่า Rat Race หรือสนามแข่งหนูนั่นเอง นั่นคือ ทำงานแล้วไม่ไปไหน รายได้มากขึ้น แต่ไม่รวยเสียที
ให้สินทรัพย์ทำงานแทน
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มเก็บเงินก่อน “จ่ายเงินให้ตัวเองก่อน” แล้วซื้อสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้เราได้ เราก็จะมีรายได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องทำงานเพิ่ม แล้วเราก็นำรายได้ที่มากขึ้นนี้ ไปซื้อสินทรัพย์ ให้สินทรัพย์ทำงานแทน สร้างกระแสเงินสดให้กับเรา ทำให้เรามีรายได้ที่มากขึ้นนอกเหนือจากงานประจำ
ทำไมคนรวยจึงรวยยิ่งขึ้น ? ก็เพราะว่าคนรวย นำเงินรายได้ไปซื้อสินทรัพย์ แล้วให้สินทรัพย์สร้างรายรับให้กับเรา เมื่อเรามีรายได้มากขึ้น ก็จะนำรายได้ส่วนนั้นไปซื้อสินทรัพย์ต่อเนื่อง รายได้ยิ่งมากขึ้น ก็ยิ่งซื้อสินทรัพย์มากขึ้น จนถึงจุดที่ไม่ต้องทำงานก็ยังมีรายได้อย่างต่อเนื่องจนครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆได้ทั้งหมด ก็คือเข้าสู่ อิสรภาพทางการเงินนั่นเอง
เงิน 4 ด้าน รายรับ 4 ช่องทาง
ในส่วนของพ่อรวยสอนลูก เล่มที่สอง “เงินสี่ด้าน” จะสอนให้เรารู้จักรายได้ 4 ช่องทางของคนทุกๆคน นั่นก็คือ รายได้จากงานประจำ รายได้จากกิจการส่วนตัว ทางด้านซ้าย รายได้จากธุรกิจ และรายได้จากการลงทุน ทางด้านขวา
โดยที่รายได้จาก งานประจำ หรือ ประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น แพทย์ ก็จะมีรายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัวคือคลินิก ช่างตัดผม มีรายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัวคือร้านตัดผม เป็นต้น ซึ่งรายได้ด้านนี้จะจำกัด เพราะรายได้ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของกิจการ
ในขณะที่รายได้จากด้านขวา ก็คือรายได้จากการประกอบธุรกิจ “ใช้ระบบและทำงานเป็นทีม” และรายได้จากการลงทุน “ใช้สินทรัพย์ทำงานแทน” สามารถทำให้เรามีรายได้ไม่จำกัด
ผมเลือกที่จะเป็นนักลงทุน
ด้วยเหตุที่ว่า ผมยังต้องทำงานประจำอยู่ ทางหนึ่งที่ผมจะสามารถมีรายได้ทางด้านขวา นั่นคือ ผมต้องทำธุรกิจส่วนตัวไปด้วย ซึ่งผมคิดว่าไม่มีความสามารถมากเพียงพอที่จะออกไปประกอบธุรกิจเองได้ นอกเหนือจากนี้ จากสถิติ 95% ของธุรกิจเกิดใหม่จะล้มเหลวภายใน 5 ปี
หรือทางเลือกที่สองก็คือเป็นนักลงทุนซึ่งคิดว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่คนทำงานกินเงินเดือนอย่างผมจะสามารถลงทุนไปด้วยและทำงานไปด้วยได้
จุดเริ่มต้นของการลงทุน
ในหนังสือพ่อรวยสอนลูกนั่น กล่าวถึง และข้อแตกต่างระหว่าง
นักพนัน กับ นักลงทุน
นักลงทุน กับ นักเก็งกำไร
การเลี้ยงวัวนมที่ให้นมกับเราทุกเช้า กับ การเลี้ยงโคเนื้อที่ต้องขายก่อนที่จะถูกหมาป่ามากิน
การลงทุนเพื่อกระแสเงินสด กับ การลงทุนเพื่อกำไรจากส่วนต่างราคา
การเปรียบเทียบแต่ละคู่นี้ มีความเสี่ยงต่างกันสุดขั้ว การลงทุนเพื่อกระแสเงินสดเป็นการรับประกันการคืนเงิน แต่ถ้าคุณลงทุนเพื่อหวังกำไรส่วนต่างราคาก็คือการลงทุนบนความหวังและความฝัน
ผมต้องการการลงทุนที่รับประกันการคืนเงิน แม้ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ ก็ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดให้ผมมีใช้จ่ายและมีเงินเหลือพอลงทุนต่อไปได้ ดังนั้น ผมจึงเลือกตามแนวทาง “หุ้นที่มีปันผลต่อเนื่อง”
ในส่วนของพ่อรวยสอนลูก เล่มที่สอง “เงินสี่ด้าน” จะสอนให้เรารู้จักรายได้ 4 ช่องทางของคนทุกๆคน นั่นก็คือ รายได้จากงานประจำ รายได้จากกิจการส่วนตัว ทางด้านซ้าย รายได้จากธุรกิจ และรายได้จากการลงทุน ทางด้านขวา
โดยที่รายได้จาก งานประจำ หรือ ประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น แพทย์ ก็จะมีรายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัวคือคลินิก ช่างตัดผม มีรายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัวคือร้านตัดผม เป็นต้น ซึ่งรายได้ด้านนี้จะจำกัด เพราะรายได้ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของกิจการ
ในขณะที่รายได้จากด้านขวา ก็คือรายได้จากการประกอบธุรกิจ “ใช้ระบบและทำงานเป็นทีม” และรายได้จากการลงทุน “ใช้สินทรัพย์ทำงานแทน” สามารถทำให้เรามีรายได้ไม่จำกัด
ผมเลือกที่จะเป็นนักลงทุน
ด้วยเหตุที่ว่า ผมยังต้องทำงานประจำอยู่ ทางหนึ่งที่ผมจะสามารถมีรายได้ทางด้านขวา นั่นคือ ผมต้องทำธุรกิจส่วนตัวไปด้วย ซึ่งผมคิดว่าไม่มีความสามารถมากเพียงพอที่จะออกไปประกอบธุรกิจเองได้ นอกเหนือจากนี้ จากสถิติ 95% ของธุรกิจเกิดใหม่จะล้มเหลวภายใน 5 ปี
หรือทางเลือกที่สองก็คือเป็นนักลงทุนซึ่งคิดว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่คนทำงานกินเงินเดือนอย่างผมจะสามารถลงทุนไปด้วยและทำงานไปด้วยได้
จุดเริ่มต้นของการลงทุน
ในหนังสือพ่อรวยสอนลูกนั่น กล่าวถึง และข้อแตกต่างระหว่าง
นักพนัน กับ นักลงทุน
นักลงทุน กับ นักเก็งกำไร
การเลี้ยงวัวนมที่ให้นมกับเราทุกเช้า กับ การเลี้ยงโคเนื้อที่ต้องขายก่อนที่จะถูกหมาป่ามากิน
การลงทุนเพื่อกระแสเงินสด กับ การลงทุนเพื่อกำไรจากส่วนต่างราคา
การเปรียบเทียบแต่ละคู่นี้ มีความเสี่ยงต่างกันสุดขั้ว การลงทุนเพื่อกระแสเงินสดเป็นการรับประกันการคืนเงิน แต่ถ้าคุณลงทุนเพื่อหวังกำไรส่วนต่างราคาก็คือการลงทุนบนความหวังและความฝัน
ผมต้องการการลงทุนที่รับประกันการคืนเงิน แม้ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ ก็ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดให้ผมมีใช้จ่ายและมีเงินเหลือพอลงทุนต่อไปได้ ดังนั้น ผมจึงเลือกตามแนวทาง “หุ้นที่มีปันผลต่อเนื่อง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น