Tom Plate วิเคราะห์การเมืองไทย: สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

18 พ.ค. 2557
โดยข่าวสด เมื่อ 18 พ.ค.2557

Tom Plate คอลัมนิสต์และนักข่าว ผู้เชี่ยวชาญด้านอาเซียนและแปซิฟิคศึกษาจากมหาวิทยาลัย Loyola Marymount, เจ้าของหนังสือชุด Giants of Asia ซึ่งเป็นซีรี่ยส์บทสัมภาษณ์ของผู้นำคนสำคัญในประเทศต่างๆ เช่น ลีกวนยู มหาเธ โมฮัมหมัด, บันคีมูน และทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนคอลัมน์วิเคราะห์การเมืองไทย ในชื่อว่า “It’s a Thai thing: ditching the new for the old” ลงในเว็ปไซต์ The Japan Times โดยให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยตอนนี้นั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง

(บทแปล)

นิสัยปกติของคนไทย: ชอบเอาของเก่ามาแทนของใหม่

ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ยูเครน ไครเมีย หรือในซีเรียที่รุนแรงอย่างมาก ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ไหนที่น่าเศร้าเท่าที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่ในขณะนี้เลย เพราะว่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้นั้นมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย ไม่ควรเลย

มีผู้คนจำนวนมากมายที่ต้องอยู่ภายใต้เงาการปกครองของรัฐบาลที่ตนเองไม่ชอบ และก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ตนเองไม่ได้เลือก และถึงขั้นรังเกียจเหยียดหยามเลยด้วยซ้ำ แต่ในโลกนี้(หรืออาจจะในโลกหน้าด้วย) น้อยคนนักที่จะได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการทุกอย่างในทางการเมือง

ทว่าในประเทศไทย กลุ่มคนบางกลุ่ม จำนวนหนึ่งเลยทีเดียว ที่ต้องการทุกๆอย่าง และเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ พวกเขาก็พร้อมที่จะปฎิเสธทุกอย่างๆที่ทุกๆคนเรียกร้อง

และมันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมากต่อประชาชนในประเทศไทยที่ได้ทำการโหวตให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯคนที่ 28 ของไทยจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2011 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย) และต้องพบว่าเธอ ซึ่งเป็นผู้เป็นสตรีที่แสนดีและทำงานหนักต้องถูกขับออกจากตำแหน่ง

เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะว่ามีกลุ่มจำนวนเล็กๆจำนวนหนึ่งไม่ชอบการเมืองแบบคนส่วนใหญ่น่ะสิ

สิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดคือเรื่องการเลือกสุภาพสตรีคนนี้มาเป็นดั่งกระสอบทรายให้กับชนชั้นนำกรุงเทพฯ เห็นได้จากการกระทำที่หลายคนเรียกว่า “การรัฐประหารโดยศาล” เนื่องด้วยว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะเอาชนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการเลือกตั้งได้แบบตัวต่อตัว

เหล่าชนชั้นนำได้รวมตัวเข้าพวกกันโดยใช้ชื่อว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” (ประกอบไปด้วยเหล่าชนชั้นนำที่เป็นปฎิปักษ์ต่อรัฐบาลทั้งหลาย) ตัดสินให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเกือบทั้งหมดต้องพ้นจากตำแหน่งไป

ด้วยคำวินิจฉัยที่ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายอย่างกระทันหันโดยรัฐบาลนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำต้องส่งผลให้รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง เป็นสไตล์การให้เหตุผลของศาลจากโรงเรียนกฎหมายแห่งความเพ้อฝัน

คำวินิจฉัยนี้เป็นการสร้างแบบแผนที่ผิดมหันต์ และเลวร้ายที่สุดมันจะเป็นการปูทางไปสู่สงครามกลางเมือง เหมือนดังที่นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ ได้กล่าวไว้ว่า ระบบยุติธรรมนั้นได้ทำการสั่นคลอนพลังทางการเมือง เพื่อที่จะทำลายพรรคการเมืองต่างๆที่เป็นพรรคพวกของทักษิณ

“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้นได้ทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขาเอง” บัณฑิตกล่าว “ถ้าหากกฎหมายไม่สามารถสร้างบรรทัดฐานความเท่าเทียมในการบังคับใช้กับทุกคนได้ ความรุนแรงในอนาคตนั้นก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลย”

ภายในลึกๆ ของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แน่นอนว่าเกิดจากความเกลียดชังในตัวพี่ชายของเธอ ทักษิน ก็ถูกขับออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่จากการรัฐประหารโดยศาลในปี 2006 แต่จากรัฐประหารโดยทหารกลุ่มหนึ่ง

ความเกลียดชังที่มีต่อทักษิณนั้นมีมากมายมหาศาล ถึงแม้ว่าเขาจะลี้ภัยไปแล้ว ดูเหมือนไฟแห่งความเกลียดชังก็จะไม่มีวันลดลง ซึ่งมันไร้เหตุผลมากๆ

ความเกลียดชังในลักษณะนี้ที่ใกล้เคียงที่สุดที่พอจะนึกได้ก็คงจะเป็นความเกลียดชังของพวกอเมริกันฝ่ายซ้ายที่มีต่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่ตอนนี้ประวัติศาสตร์ดูเหมือนว่าจะให้เกียรติเขามากขึ้นแล้ว (จากความคิดของเขาในการพูดคุยกับจีน, ขยายนโยบายภายใน ฯลฯ)

ย้อนกลับมาดูเรื่องที่คล้ายคลึงกัน ทักษิณ ดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงปี 2001-2006 ทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูอย่างมาก รัฐบาลของเขานั้นได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง เขาได้ออกนโยบายมากมายด้านสุขภาพและการกระจายรายได้ เขาได้ให้ความหวังแก่ประชาชนภายนอกกรุงเทพให้มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก

อย่างไรก็ดี เขาก็ถูกขับไล่ ด้วยข้อหา “คอร์รัปชั่น” อย่างกับว่าเขาเป็นนักการเมืองคนแรกของประเทศไทยที่(ถูกกล่าวหา) ว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวในขณะที่ดำรงตำแหน่ง อย่างไรอย่างนั้นแหละ

กลุ่มคนที่ต่อต้านทักษิณจึงจำต้องเพ่งเล็งไปที่น้องสาวของเขา ยิ่งลักษณ์ สุภาพสตรีที่ทรงเสน่ห์และขยันทำงาน คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญของไทยที่ขับเธอให้พ้นออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นการกระทำที่ตื้นเขินมาก เพราะมันจะนำพาประเทศที่กำลังเริ่มไปได้สวย ให้ดิ่งลงเหว

ข้าพเจ้ารู้สึกมากกว่าเศร้า ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยหลายคนคงคิดว่าข้าพเจ้ามีอคติ จากผลงานของข้าพเจ้าในหนังสือ “จับเข่าคุย ทักษิณ ชินวัตร” ที่ออกมาในปี 2011 หนังสือเล่มนี้พยายามถ่ายทอดคำบอกเล่าของอดีตนายกรัฐมนตรีในด้านของเขาอย่างมากที่สุดจากปากของเขาเอง

ในปี 2010 ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาสัปดาห์ครึ่งกับเขาในดูไบ ในขณะที่เขาลี้ภัย พูดอย่างสัตย์จริงก็คือว่าข้าพเจ้าพบว่าเขานั้นเป็นคนที่น่าคบหา ฉลาด และมีความรักชาติไทย ข้าพเจ้าคิดว่าเขาทำเพื่อประโยชน์ตนเองหรือไม่? ข้าพเจ้าขอถามหน่อย: คุณเคยเห็นนักการเมืองคนไหนที่ไม่ทำอย่างนั้นหรือ?

ในความเป็นจริงแล้ว ศัตรูของทักษิณเองก็ชื่นชมหนังสือเล่มนี้ว่ามันได้ฉายภาพมุมมองของทักษิณอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับฝ่ายสนับสนุนเขาก็ยกย่องมันเช่นเดียวกันเพราะมันได้เปิดโอกาสให้บุคคลผู้อื้อฉาวท่านนี้ได้พูดเองบ้าง และนั่นคือสิ่งที่นักข่าวตัวจริงต้องทำ นั่นคือการเชิดชูความเป็นจริงที่ไร้อคติ

ข้าพเจ้าเชื่อว่าประเทศไทยควรจะเป็นอย่างนั้น ทว่าในขณะนี้มันกับกลายเป็นว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การทำลายตัวเอง

ปัญหาการเมืองใดๆในโลกทุกวันนี้ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเวทนาได้เท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนฝันร้ายกับประเทศไทยเลย นี่เป็นโศกนาฎกรรมที่ต้องจดจำ มันคือการทำลายตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง

ได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคนหรืออะไรสักอย่างในประเทศไทยที่จะสามารถนำพาประเทศให้พ้นวิกฤตครั้งนี้ได้

ที่มา http://www.ispacethailand.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget