ซีรีส์ความเป็นไทย

17 พ.ย. 2557
โดย กานดา นาคน้อย เมื่อ พ.ย.2557

ลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสยุคพระนารายณ์บันทึกไว้ว่า

1. ชาวสยามพูดปดเก่ง" "มิตรภาพของชาวสยามไว้ใจไม่ได้" และ "ชาวสยามจะไม่ปฏิเสธการลักขโมยเลยเมื่อมีโอกาส"

2. บันทึกความดีของขุนนางสยามไว้ว่า "เมื่อครั้งพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทรงจัดให้คณะทูตสยามเดินทางไปมณฑลฟรานเดอร์ ขุนนางสยามผู้หนึ่ง ได้ฉกฉวยเอาเบี้ยในบ้านคณะทูตที่ได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงอาหารค่ำไปประมาณ 20 อัน"

3. "การจำแนกราษฎรกับพระภิกษุสงฆ์เป็นแต่เพียงผิวเผิน เพราะจะบวชหรือจะสึกเมื่อใดก็ได้ "

4. "คนสยามได้ชื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์มาก ถึงขนาดลงมือช่วยเมื่อพบมันเจ็บป่วย แต่ยากนักที่จะให้เอื้อเฟื้อจุนเจือแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน "

5. "คนสยามนั้นยอมขายความเป็นไทของตนเพื่อบริโภคทุเรียนก็ยังได้"

6. "เจ้าเมืองทั้งหลายดำเนินการค้าทุกหนแห่ง แต่ทำในนามทนายหน้าหอของตน"

7. "พระนักเทศน์นั้น ถ้าได้เทศน์บ่อยๆ ก็กลายเป็นคนร่ำรวยไปได้"

8. "ชาวสยามมีความยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีเท่าๆกับความเกียจคร้าน" "ชาวสยามมีความอดกลั้นมากกว่าเราเพราะเกียจคร้านกว่า เขาจะยอมเคลื่อนไหวลงมือทำการงานก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ"

9. "ชาวสยามเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยน มีสัมมาคารวะ ใจเย็น แต่เมื่อความโกรธลุกโพลงขึ้นมาแล้วดูเหมือนจะมีความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่าพวกเรา และแนวโน้มในการกล่าวเท็จจะทวีขึ้นในกมลสันดาน"

10. "ชาวสยามมีความพยาบาทรุนแรง ปกติชาวสยามรังเกียจการเลือดตกยางออก แต่เมื่อเกลียดชังใครอย่างหมายเอาชีวิตแล้วก็จะฆ่าหรือวางยาพิษให้ตาย"

11. "ขุนนางสยามหวงลูกสาวเท่ากับหวงภรรยา ถ้าลูกสาวคนใดทำชั่ว ผู้เป็นพ่อก็จะขายลูกสาวให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งมีความชอบธรรมที่จะเกณฑ์ให้ผู้หญิงที่ตนซื้อมาเป็นหญิงแพศยาหาเงินได้โดยชายผู้นั้นต้องเสียภาษี กล่าวกันว่าชายผู้นี้มีหญิงโสเภณีอยู่ในปกครองถึง 600 คน ล้วนเป็นลูกขุนนาง"

12. "คนพื้นเมืองชาวสยามนั้นฉิบหายป่นปี้แล้วด้วยภาษีอากร และการเข้าเดือนรับราชการ จึงไม่สามารถที่จะทำการค้าที่ใหญ่โตได้"

13. "สติปัญญาอันฉับไวของชาวสยาม น่าจะเหมาะมากในการเรียนวิชาคำนวณยิ่งกว่าศาสตร์ชนิดอื่นๆ ถ้าเขาไม่เบื่อเร็วนัก" "ชาวสยามไม่มีความรู้ในวิชาเรขาคณิตเลย และไม่รู้ในวิชากลศาสตร์ วิชาดาราศาสตร์ก็ใช้ในเชิงพยากรณ์ได้เท่านั้น"

14.  "ชาวสยามเป็นโรคหลายชนิดที่อาการแปลก เชื่อกันว่าเนื่องจากถูกเวทย์มนตร์คุณไสย" และ"ชาวสยามเชื่อว่ายังมีศาสตร์แห่งการพยากรณ์ เชื่อว่าอาถรรพเวทย์เสกเป่าให้คนไข้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้"

15. "ชาวสยามรักการเล่นการพนันมากจนฉิบหายขายตนหรือไม่ก็ขายบุตรธิดาของตน"

16. การใช้ชีวิตตามปกติของชาวสยาม  ชายชาวสยามรักลูกเมียมาก  ในระหว่างที่พวกผู้ชายถูกเกณฑ์ไปเข้าเวรยาม มีกำหนดหกเดือนนั้นในทุกปีนั้น เป็นภาระของภรรยา มารดา และธิดา เป็นผู้

หาอาหารไปส่งให้ และเมื่อพ้นเกณฑ์แล้วกลับมาอยู่บ้าน ผู้ชายส่วนมากก็ไม่ทำงานอะไรเป็นล่ำเป็นสัน ชีวิตตามปกติของชาวสยามเป็นไปด้วยความเกียจคร้าน ไม่เที่ยวล่าสัตว์ ได้แต่นั่งเอนหลัง กิน เล่น สูบบุหรี่ แล้วก็นอนไปวัน ๆ  ภรรยาจะปลุกให้เขาตื่นประมาณเจ็ดโมงเช้า เอาอาหารมาให้กิน เสร็จแล้วก็นอนใหม่ พอเที่ยงก็ลุกมากินอีก แล้วเอนหลังใหม่ จนกินอาหารมื้อเย็น  เวลาที่เหลืออยู่นอกนั้นจะหมดไปด้วยการพูดคุย และเล่นการพนัน พวกภรรยาไปไถนา ไปซื้อขายของในเมือง

17. ชาวสยามไม่เหมาะที่จะเรียนวิชาอย่างคร่ำเคร่ง  วิชาต่าง ๆ ที่สอนกันในวิทยาลัยของเรานั้น เกือบจะไม่เป็นที่รู้จักกันในชาวสยาม

18. มิตรภาพของชาวสยามไว้ใจไม่ได้ วิธีทำสัตย์ว่าจะเป็นมิตรต่อกันตลอดปี ทำด้วยการดื่มเหล้าโรงในจอกเดียวกัน แต่ถ้าจะให้หนักแน่นก็จะต้องดื่มเลือดซึ่งกันและกัน แต่กระนั้นก็ยังไม่วายที่จะพยศกัน

19. การชำระความกว่าจะแล้วก็ช้ามาก  ไม่ว่าคดีเรื่องใด ความจะแล้วได้ภายใน ๓ วัน แต่บางเรื่องถึง ๓ ปี ก็มี

7 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณ ..
    ใด้รู้ประวัติศาสตร์มุมมองและบันทึกคนไทยของฝรั่งสมัยพระนารายณ์

    ตอบลบ
  2. นิสัยนั้นก็ยังคงหลงเหลือสืบทอดมาให้ชนไทยบางคน ในยุคปัจจุบัน

    ตอบลบ
  3. นางกานดา นาคน้อย เจ้าของบทความนี้บิดเบือนข้อเท็จจริง ในบันทึกไม่มีคำว่าชาวสยามพูดปดเก่ง และไม่มีข้ออื่นๆอีกมากมาย ... http://www.asienreisender.de/depictionofsiam.html

    ตอบลบ
  4. เบิ่งดูฉบับแปลเป็นไทยสิคะ ลองอ่านดูที"สยามรัฐ"ก็ได้นะ

    ตอบลบ
  5. ปล. คลิกดูบทความที่"สยามรัฐ"ได้ที่นี่ http://www.siamrath.co.th/web/?q=%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AF%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1

    ก็เขียนชัดเจนว่า "ชาวสยามพูดปดเก่ง"นะ

    ตอบลบ
  6. ถ้าอยากอ่านให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋ก็ไปซื้อฉบับแปลมาอ่านได้นะ หน้าตาแบบนี้ http://mekongjournal.kku.ac.th/Vol07/Issue02/11.pdf

    ตอบลบ
  7. เอาบทความที่"สยามรัฐ"มาแปะเลยละกัน จะได้เห็นชัดๆ!

    -----------------------------------------------------
    ปล้ำผีลุกฯ"ฝรั่งมองชาวสยาม"
    จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่คนต่างชาติที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ยังเป็นสยาม

    ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง
    วัฒนรักษ์ watanarax@yahoo.com



    ฝรั่งมองชาวสยาม

    ช่วงนี้รู้สึกเนือยๆ กับบรรยากาศความเป็นไปของประเทศ เหมือนกับว่าหมดที่พึ่งพาและหาทางออกที่ดีๆ ไม่ได้เอาเสียเลย
    ประเด็นที่เป็นปัจจัยให้เกิดอาการดังกล่าว ดูไปแล้วน่าจะมาจากคนที่มีบุญบารมีหรืออำนาจวาสนาในบ้านเมืองเรา ในวันนี้ไม่นิยมการเผชิญหน้าหรือไม่ต้องการที่จะมีความขัดแย้งกับคนอื่นๆ ซึ่งว่าไปแล้วเรื่องของการประนีประนอมก็มีสูงอย่างนี้อยู่แล้วในลักษณะของคนในสังคมไทย
    ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องของการประนีประนอมแบบไทยๆ ของเรานั้นมันก็ไม่ได้เหมือนสังคมอื่นที่เขามักหวังว่าการประนีประนอมจะทำให้เกิดการปรองดองกัน แต่เท่าที่เห็นและเป็นอยู่คนไทยเราจะยอมอะลุ้มอล่วยหรือผ่อนหนักผ่อนเบาให้กันก็เพียงเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า แต่ต่างฝ่ายต่างก็ยังเก็บข้อข้องใจไว้รอระเบิดออกมาในวาระแห่งการหมดความอดกลั้นแทบทั้งนั้น
    ดังขอยกตัวอย่างจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่คนต่างชาติที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ยังเป็นสยาม เพื่อที่เราจะได้ย้อนกลับมาดูว่าเรายังคงลักษณะเหล่านั้นไว้ได้อย่างแนบแน่นหรือไม่
    อย่าง โยส สเคาเต็น ชาวฮอลันดา เขียนไว้ในหนังสือ “A True Description of the Mighty Kingdom of Siam” พ.ศ. 2174 (ค.ศ. 1631) ว่า “…คนสยามเป็นทหารที่ดีไม่ได้ มักโหดร้ายทารุณกับเชลยศึก มีท่าทางหยิ่งจองหอง แต่เมื่อมีกิจธุระต้องติดต่อกันก็จะสุภาพเรียบร้อย ชอบสนุก หัวอ่อน ขี้ขลาด ขี้ระแวง ชอบประจบ ไม่น่าเชื่อถือ หลอกลวงเก่ง และชอบพูดไม่จริงอย่างที่สุด มีท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง อวดดี เป็นนิสัย ...มีนิสัยเกียจคร้านมาก ไม่ชอบทำงาน… อาหารปกติจะมี ข้าว ปลา และผัก มีการดื่มสุราอย่างมากมายในวันหยุด...”
    ขณะที่ ชอง แบบติส ชาวฝรั่งเศส เข้ามาในไทย พ.ศ. 2374 (ค.ศ. 1830 -1854) สมัยรัชกาลที่ 4 สังฆนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิก เขียนไว้ใน “Description du Royaume Thai ou Siam” ว่า “คนไทย มีนิสัยอ่อนโยน มักง่าย ไม่ค่อยยั้งคิด ขี้กลัว และขี้สนุก ไม่ชอบการทะเลาะวิวาท... เป็นคนเกียจคร้าน โลเล ใจลอย และสำคัญที่ขี้ขอ... เป็นคนใจบุญ ชอบเล่นการพนันและการเล่นมาก เป็นคนเจ้าปัญญา เฉลียวฉลาด ”
    ส่วนหมอ กุสลาฟฟ์ มิชชั่นนารีชาวเยอรมัน เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ ปี พ.ศ. 2371 บันทึกว่า “คนสยามมีนิสัยโลเลมาก วันนี้มีความคิดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้เปลี่ยนเป็นอีกอย่างหนึ่ง และคนสยามจำนวนมากไม่ซื่อสัตย์”
    นักบันทึกคนสำคัญอย่าง มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ เอกอัคราชทูตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ฝรั่งเศส ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ พ.ศ. 2231 (ค.ศ. 1688) ได้อยู่ในกรุงศรีอยุธยา 3 เดือน 6 วัน กล่าวว่าคนไทยนั้น “เป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยน มีสัมมาคารวะ ใจเย็น และไม่ค่อยมีโทสะรุนแรงนัก คุมสติไว้ได้นานมาก แต่เมื่อความโกรธลุกโพลงขึ้นมาแล้วดูเหมือนจะมีความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่า พวกเรา (พวกฝรั่งเศส) ความขี้อาย ความโลภ ความสะกดอดกลั้น ความเงียบขรึม และแนวโน้มในการกล่าวเท็จจะทวีขึ้นในกมลสันดาน”
    นอกจากนั้น ยังบันทึกข้อดีข้อเสียเกี่ยวกับนิสัยคนไทยไว้อีกหลายมุมมอง อย่างเช่น “ชาวสยามพูดปดเก่ง… ชาวสยามเป็นขโมย ชาวสยามไม่ปฏิเสธการลักขโมยเลยในเมื่อมีโอกาสที่จะกระทำได้” หรือ “ชาวสยามเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยน มีสัมมาคารวะ ใจเย็นและไม่ค่อยจะมีโทสจริตรุนแรง… ชาวสยามไม่อยากรู้อยากเห็น หรือนิยมชมชื่นในอะไรๆ ทั้งนั้น ชาวสยามเป็นคนเจ้าเล่ห์และกลับกลอกอยู่เสมอ” ตลอดจน “คนสยามได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตาต่อสัตว์เป็นอันมาก แต่ยากนักที่จะให้การเอื้อเฟื้อจุนเจือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน...”
    เมื่อได้พินิจพิเคราะห์บันทึกของลาลูแบร์ สะท้อนความเป็นคน 2 มาตรฐานของคนไทยไว้อย่างชัดเจน
    สัปดาห์หน้า มาดูคนไทยมองนิสัยคนไทยด้วยกันเองเป็นเช่นไร
    Submitted by editor on Sat, 26/10/2013 - 06:48

    ตอบลบ

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget